ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สิทธิประโยชน์บัตรทอง ดูแล “ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย” ทั่วประเทศเข้าถึงบริการบำบัดทดแทนไตอย่างทั่วถึง ช่วยลดวิกฤตล้มละลายจากค่ารักษาพยาบาล เผยปัจจุบันครอบคลุมดูแลผู้ป่วยไตวายฯ 6.2 หมื่นคน 

เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2567 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ป่วยโรคไตในประเทศไทยว่า ปัจจุบันคนไทยป่วยด้วยโรคไตสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยมีจำนวนผู้ป่วยประมาณ 11.6 ล้านคน อีกทั้งยังพบว่าอายุของผู้ป่วยโรคมีแนวโน้มลดลง จากเดิมที่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ เริ่มเปลี่ยนมาเป็นวัยกลางคนมากขึ้น เนื่องจากวิถีชีวิตในปัจจุบันมีการบริโภคอาหารรสจัด รับประทานอาหารปรุงสำเร็จหรืออาหารกล่องที่ไม่รู้ว่าผู้ขายใส่สารเคมีอะไรมาบ้าง ทำให้ไตเริ่มเสื่อมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งต้องช่วยกันป้องกันโดยลดพฤติกรรมบริโภคที่เสี่ยงต่อภาวะไตเสื่อม 

ทั้งนี้โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย กล่าวได้ว่าเป็นโรคล้มละลาย เพราะต้องบำบัดทดแทนไตไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ผ่าตัดเปลี่ยนไต เช่น การฟอกเลือด สมัยก่อนค่าฟอกเลือดครั้งละ 4,000-5,000 บาท ทั้งต้องทำการฟอกเลือด  10-15 ครั้งต่อเดือน ดังนั้นผู้ป่วยมีเงินเท่าไหร่ก็หมด ซึ่ง สปสช. เห็นว่าเป็นภาวะวิกฤตต่อผู้ป่วยและครอบครัว ดังนั้นจึงได้ของบสนับสนุนจากรัฐบาล เพื่อจัดทำสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท ให้กับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายได้เข้าถึงการรักษาอย่างครอบคลุมและทั่วถึง ไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อดูแลไม่ให้เกิดการล้มละลายจากการจ่ายค่ารักษาพยาบาลนี้

ทพ.อรรถพร กล่าวต่อว่า เมื่อแพทย์วินิจฉัยแล้วว่า ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการบำบัดทดแทนไต แพทย์จะอธิบายข้อดีข้อเสียของการบำบัดแต่ละวิธี แล้วให้ผู้ป่วยตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะใช้วิธีใด โดยพิจารณาจากความเหมาะสมของตนเอง ซึ่งการบำบัดทดแทนไตมี 3 วิธี คือ 1.ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม 2.ล้างไตผ่านทางช่องท้อง และ 3.ผ่าตัดปลูกถ่ายไต  โดยปัจจุบันมีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ต้องรับการบำบัดทดแทนไตในระบบบัตรทองฯ ประมาณ 62,000 คน แบ่งเป็นผู้ป่วยที่ฟอกเลือดจำนวน 40,000 คน ล้างไตทางช่องท้องจำนวน 21,000 คน และการผ่าตัดเปลี่ยนไต มีผู้ป่วยที่รับการเปลี่ยนไตในระบบแล้วประมาณ 100 คน

 

ย้ำว่าการบำบัดทดแทนไตแต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียต่างกัน เช่น การฟอกเลือด สะดวกตรงที่ผู้ป่วยไม่ต้องทำเอง มีพยาบาลทำให้ แต่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาก และไม่สามารถเดินทางไปไหนได้ไกล เพราะต้องไปฟอกเลือดที่โรงพยาบาลทุกๆ 2-3 วัน

ส่วนการล้างไตทางช่องท้อง ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติเพราะทำได้ด้วยตัวเอง ซึ่ง สปสช. จัดส่งน้ำยาล้างไตให้ถึงที่บ้าน ทำให้ไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เมื่อใส่น้ำยาล้างไตเข้าไปในช่องท้องแล้วก็ออกไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องล้างไตทางช่องท้องอัตโนมัติ (APD.) ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการล้างไตระหว่างนอนหลับและออกไปประกอบอาชีพหรือทำกิจวัตรต่างๆ ได้ในเวลากลางวัน

สำหรับปัญหาอัตราการติดเชื้อของผู้ป่วยล้างไตทางหน้าท้องนั้น รายงานของประเทศไทยมีอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก เพราะประเทศไทยมีทีมแพทย์และพยาบาลด้านการล้างไตทางช่องท้องที่เข้มแข็ง มีการอบรมวิธีการล้างไตด้วยตัวเองที่ถูกต้องแก่ผู้ป่วย และออกไปเยี่ยมบ้านเพื่อให้คำแนะนำในการปรับพื้นที่ให้เหมาะสมกับการล้างไต อีกทั้งยังมีบริษัทไปรษณีย์ไทยรับผิดชอบในการจัดส่งน้ำยาล้างไตให้ถึงที่บ้านอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งในสถานการณ์อุทกภัยหรือภัยธรรมชาติต่างๆ ไปรษณีย์ไทยก็สามารถจัดส่งน้ำยาให้ได้เสมอ ยืนยันได้ว่าคนไข้ที่ล้างไตผ่านหน้าท้องในระบบบัตรทองฯ จะไม่มีวันขาดน้ำยาล้างไตอย่างแน่นอน 

“การที่ผู้ป่วยสามารถออกไปประกอบอาชีพได้ เป็นกำลังในการการเสริมสร้าง GDP ให้แก่ประเทศ วิธีนี้จึงค่อนข้างเหมาะกับผู้ป่วยที่อยู่ในวัยแรงงาน” ทพ.อรรถพร กล่าว

รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในอดีต สปสช. มีนโยบายให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายรายใหม่รับบริการล้างไตผ่านช่องท้องเป็นวิธีแรก (PD First)  เพราะทรัพยากรเครื่องฟอกเลือดมีไม่เพียงพอ การล้างไตทางช่องท้องจึงเป็นวิธีทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึงและครอบคลุมมากกว่า แต่ปัจจุบันด้วยหน่วยบริการที่ให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม มีมากขึ้นและกระจายอยู่ทั่วประเทศ สปสช. จึงไม่จำกัดแล้วว่าผู้ป่วยจะต้องล้างไตทางช่องท้องก่อน แต่ให้ผู้ป่วยสามารถเลือกได้ตามความสะดวกว่าจะใช้วิธีใด

ทพ.อรรถพร กล่าวทิ้งท้ายว่า กรณีการจัดชุดสิทธิประโยชน์กรณีไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายเป็นตัวอย่างที่สำคัญที่แสดงให้เห็นว่าระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ช่วยลดภาระของผู้ป่วย ครอบครัว และภาระของประเทศได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ทำให้ผู้ป่วยยังเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศ ไม่ได้นอนเป็นภาระเพียงอย่างเดียว และถ้ามองให้ลึกลงไป แม้ระบบบัตรทองจะเน้นเรื่องสุขภาพและการรักษาพยาบาล แต่จริงๆแล้วคือการทำให้ประเทศมีความเข้มแข็งในระยะยาวนั่นเอง