ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ไข้หวัดใหญ่แนวโน้มสูง เสียชีวิตส่วนใหญ่ยังเป็นผู้สูงอายุ รณรงค์ฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยงแล้วกว่า 91% ส่วนไวรัสฃ RSV พบน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ไข้เลือดออกสูงโดยเฉพาะภาคเหนือและใต้ เตรียมวัคซีนฝีดาษวานร ฉีดกลุ่มเสี่ยง  เช่น บุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงสูงต่อการติดโรค และสัมผัสผู้ป่วย

เมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่กรมควบคุมโรค (คร.) ในการแถลงข่าวรู้ทันสถานการณ์ “จับตาโรคอุบัติใหม่แฃ” นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษก คร.เปิดเผยว่า  โรคโควิด-19 ผู้ป่วยลดลงจากสัปดาห์ก่อน แนวโน้มดีขึ้นผ่านช่วงฤดูระบาดแล้ว 

ไข้หวัดใหญ่สูงขึ้น

ขณะที่โรคไข้หวัดใหญ่มีแนวโน้มสูงขึ้น ส่วนใหญ่เป็นในเด็กเล็กมากสุด แต่ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ผู้ใหญ่ที่มีโรคประจำตัวและไม่รับวัคซีน แนะนำให้รับวัคซีนก่อนฤดูกาลระบาด โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์สามารถรับวัคซีนได้ตลอดทั้งปี อย่างไรก็ตาม ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ได้รณรงค์การรับวัคซีนในประชาชนกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเป้าหมาย 4,170,210 คน เข้ารับแล้ว 3,802,584 คน คิดเป็น 91.18% 

ไวรัสRSV

ส่วนโรคปอดอักเสบหรือไวรัสอาร์เอสวี (RSV) พบในสัดส่วนที่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา แต่ยังต้องเฝ้าระวังโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก ซึ่งทั้ง 3 โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจดังกล่าว แนะนำให้หมั่นล้างมือให้สะอาด ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านและรับประทานอาหารปรุงสุกร้อนสะอาด  

ไข้เลือดออก

สำหรับสถานการณ์โรคไข้เลือดออก แนวโน้มสูงขึ้นทุกสัปดาห์ โดยเฉพาะเขตภาคเหนือและภาคใต้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กวัยเรียน แต่พบผู้เสียชีวิตมากขึ้นในกลุ่มวัยทำงาน เนื่องจากมีโรคประจำตัว ไปรพ.ช้า  ได้รับยากลุ่ม NSAIDs และมีภาวะอ้วน ติดสุรา ขณะที่โรคติดเชื้อไวรัสซิกา ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะเช่นกัน พบผู้ป่วยน้อยกว่าปีที่ผ่านมา แต่ต้องย้ำเตือนในหญิงตั้งครรภ์เพราะหากติดเชื้อจะกระทบต่อทารกทำให้ศีรษะเล็ก ย้ำป้องกันไม่ให้ยุงกัด หากมีไข้และผื่นขึ้นให้รีบพบแพทย์

ฝีดาษวานร

นพ.วีรวัฒน์ กล่าวด้วยว่า โรคฝีดาษวานร สถานการณ์ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2566-2567 มีผู้ป่วยสะสม 835 ราย เป็นเพศชาย 98% เสียชีวิตสะสม 13 รายทั้งหมดเป็นผู้ติดเชื้อ HIV  โดยปี 2567 มีผู้ป่วย 144 ราย เสียชีวิต 4 ราย สายพันธุ์ที่ระบาดเป็น Clade2 รุนแรงน้อยกว่า Clade1ซึ่งพบผู้ติดเชื้อนำเข้าเพียง 1 รายเป็นชายชาวยุโรปปัจจุบันหายแล้ว ขณะที่ผู้สัมผัสไม่พบการติดเชื้อเพิ่ม

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคครั้งที่ 5/2567 เมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมามีมติเห็นชอบให้มีการนำวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษวานรเข้ามาในประเทศไทย เพื่อควบคุมการระบาด โดยเน้นพื้นที่เสี่ยงตามข้อมูลทางระบาดวิทยา กลุ่มเป้าหมายคือบุคลากรทางกการแพทย์ที่เสี่ยงสูงต่อการติดโรค และการสัมผัสผู้ป่วย และผู้ที่มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคฝีดาษวานรอย่างใกล้ชิดภายใน 4 วันตามข้อมูลการสอบสวนโรค คาดจะสามารถนำเข้าวัคซีนเป็นรุ่นที่ 3 เร็วที่สุดภายใน 4 เดือน