ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สสส.-วิทยาลัยการจัดการ ม.มหิดล เปิดตัวเครื่องมือสร้างเสริมสุขภาวะของคนในองค์กร นำร่องสำรวจในองค์กรธุรกิจ 32 แห่ง คนทำงาน 50% ให้ความสำคัญสุขภาวะมิติด้านสังคม-สภาพแวดล้อม รองลงมามิติทางกาย มิติทางปัญญา และมิติทางใจ ชี้ความเครียดและความกดดันจากการทำงาน  ส่งผลให้ พนง. ลาออก เดินหน้าชวนภาคธุรกิจไทยใช้ระบบดิจิทัลเก็บข้อมูลสุขภาวะ ใช้วางแผน สื่อสารให้เกิดความยั่งยืน

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ที่อาคารวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวในงานเวทีสรุปการศึกษาและพัฒนาเครื่องมือสำรวจสุขภาวะองค์กรอย่างยั่งยืน ว่า ทิศทางการสร้างเสริมสุขภาวะองค์กรตามยุทธศาสตร์ 10 ปี ของ สสส. เน้นการทำงาน ใน 5 ส่วนสำคัญ 

1.การสร้างผลกระทบ (Impact) 

2.การขยายผล (Scale up) 

3.สอดคล้องเป้าหมายองค์กรสุขภาวะ 7+1 (Alignment) 

4.ความยั่งยืน (Sustainability) 

5.การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี (Innovation) 

ที่ผ่านมาเครือข่ายองค์กรสุขภาวะ เดินหน้าพัฒนาองค์กรสุขภาวะและเครื่องมือสร้างเสริมสุขภาวะของคนในองค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีของพนักงาน ภายใต้บริบทการทำงานปัจจุบันและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) แต่ยังพบข้อจำกัดการวัดผลการมีสุขภาวะที่ดีของคนทำงานในองค์กร และการประเมินผลที่ความรวดเร็ว

สสส. จึงร่วมกับคณะวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาเครื่องมือสร้างเสริมสุขภาวะของคนในองค์กร ภายใต้โครงการพัฒนาเครื่องมือสนับสนุนการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาวะในองค์กรอย่างยั่งยืน ในรูปแบบแบบสำรวจออนไลน์ที่ได้ตามมาตรฐานสากล ใช้สำรวจสุขภาวะของคนทำงาน ครอบคลุมประเด็นเรื่อง Happy workplace ตามแนวทางความสุข 8 ประการ รวมถึงเป้าหมายการพัฒนาสุขภาวะองค์กรให้เกิดความยั่งยืน นำร่องสำรวจสุขภาวะคนทำงาน 1,089 คน จากองค์กรภาคธุรกิจ 83 แห่ง 

ปี 2567 พบ คนทำงาน 50% ให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมสุขภาวะในมิติทางสังคมสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับ 1 รองลงมามิติทางกาย มิติทางปัญญา และมิติทางใจ สสส. เดินหน้าชวนองค์กรภาคธุรกิจทั่วประเทศใช้เครื่องมือวัดสุขภาวะองค์กร สำหรับผลประเมินสุขภาวะของคนทำงานทุกมิติ เป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้ข้อมูลแก่องค์กรเพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบายที่เอื้อต่อการเป็นองค์กรแห่งสุขภาวะที่อย่างยั่งยืน

รศ.ดร.พลิศา รุ่งเรือง รักษาการแทนรองคณบดีงานบริหาร และรักษาการแทนรองคณบดีงานวิจัย วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้พนักงานลาออก ส่วนใหญ่มาจากความเครียดและความกดดันจากการทำงาน บรรยากาศโดยรวมขององค์กรที่ไม่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ผลงานและพัฒนาทักษะใหม่ๆ สวัสดิการขาดความยืดหยุ่น ไม่สอดคล้องกับคุณภาพชีวิตและสภาวะเศรษฐกิจ ผู้บริหารยุคใหม่จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ Well-being ในการบริหารจัดการสุขภาวะที่ดีในที่ทำงาน พัฒนาทักษะความสามารถของพนักงาน พร้อมกับปรับวัฒนธรรมองค์กรเพื่อดึงดูดพนักงานหน้าใหม่ 

ทั้งนี้ ระบบดิจิทัลสำรวจสุขภาวะในองค์กร จะเป็นเครื่องมือสำคัญให้องค์กรภาคธุรกิจใช้สำรวจสุขภาวะของพนักงานใน 4 มิติ คือ มิติทางกาย มิติทางใจ มิติทางปัญญา มิติทางสังคมสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้เกิดความผูกพันต่อองค์กร และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN SDG) และแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน (ENVIRONMENT, SOCIAL, GOVERNANCE: ESG) และบริหารจัดการองค์กรให้มีสุขภาวะที่ดี ส่งเสริมสุขภาพคนทำงานให้สมดุลและยั่งยืนตามยุทธศาสตร์ชาติ และ สสส. ต่อไป 

รศ.ดร.สุภรักษ์ สุริยันเกียรติแก้ว หัวหน้าทีมวิจัยโครงการพัฒนาเครื่องมือสนับสนุนการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาวะในองค์กรอย่างยั่งยืน กล่าวว่า ทีมวิจัยได้นำเครื่องมือวัดสุขภาวะองค์กรไปประยุกต์ใช้จริงในองค์กรต้นแบบ 3 แห่ง ได้แก่ 

1.บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด 

2.บริษัท แสงไทยเมตัลดรัม จำกัด 

3.บริษัท เงินมาธุรกิจ จำกัด

การสำรวจสุขภาวะคนทำงานในองค์กร ประเมินผล พัฒนานโยบายและกิจกรรมส่งเสริมการเป็นองค์กรสุขภาวะที่ดี เกิดผลลัพธ์ขององค์กรสุขภาวะที่เป็นเลิศตรงกันใน 4 มิติ คือ 

1.มิติความผูกพันขององค์กร 

2.มิติผลผลิตของพนักงาน 

3.มิติความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 

4.มิติภาพลักษณ์ของตราสินค้า 

ทั้งนี้ เป็นการตอกย้ำว่า การที่องค์กรส่งเสริมสุขภาวะให้คนทำงาน จะสามารถช่วยให้องค์กรมีผลผลิตที่มีคุณภาพ มีชื่อเสียงที่ดี ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่สุดสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนขององค์กรต่อไป ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อใช้งานระบบแบบสอบถามออนไลน์เพื่อสำรวจสุขภาวะในองค์กรได้ที่