ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จัดงานวันสถาปนาครบรอบ “66 ปี NIT ล้ำสมัย สุขใจ พร้อมบริการ” การเข้าถึงสุขภาพผู้ป่วยและการบริการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย 

เมื่อวันที่ 3 ส.ค. นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า สถาบันประสาทวิทยา เป็นสถาบันชั้นนำเฉพาะทางด้านระบบประสาทแห่งแรกของประเทศไทย ก่อตั้งโดยศาสตราจารย์นายแพทย์ประสพ รัตนากร เปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2500 โดยมีชื่อเดิมคือ โรงพยาบาลประสาทพญาไท โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้บริการตรวจและรักษาโรคสมองและระบบประสาทไขสันหลังควบคู่ไปกับการศึกษาวิจัย ปัจจุบันสถาบันประสาทวิทยา เป็นโรงพยาบาลขนาด 300 เตียง มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคสมองไขสันหลังและระบบประสาทระดับตติยภูมิ และยังเป็นศูนย์รับส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ 

นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า สถาบันประสาทวิทยาได้จัดงานวันสถาปนาครบรอบ 66 ปี 3 สิงหาคมม 2566 โดยในช่วงที่มีการแพร่ระบาดโรค COVID-19 ที่ผ่านมา สถาบันประสาทวิทยาได้พัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกให้กับผู้มารับบริการ โดยการวางแผนพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นผลสำเร็จเป็นลำดับ และเป็นต้นแบบการบริการรูปแบบใหม่ให้กับเขตสุขภาพอื่น ๆ เช่น 

  • พัฒนาการรักษาโรคหลอดเลือดสมองด้วยการใช้สายสวนหลอดเลือด ให้เป็นชุดสิทธิประโยชน์ร่วมกับการใช้ Telemedicine ประสานส่งต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจากเขตสุขภาพต่าง ๆ 
  • พัฒนาเครือข่ายโรคหลอดเลือดสมอง เชิงรุก โดยรถหน่วยรักษาโรคหลอดเลือดสมองเคลื่อนที่ (Mobile stroke unit) 
  • การใช้เทคโนโลยีการผ่าตัดกระดูกสันหลังด้วยการส่องกล้อง 
  • การผ่าตัดผู้ป่วยโรคลมชัก ผ่าตัดรักษาโรคพาร์กินสัน โรคการเคลื่อนไหวผิดปกติ โดยใช้หุ่นยนต์ 
  • การใช้เทคโนโลยี DMS Telemedicine พบแพทย์ออนไลน์และรอรับยาที่บ้าน 
  • การพัฒนาแอพพลิเคชั่น NIT Plus ร่วมกับระบบ SMART OPD เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้ารับบริการ 

นอกจากพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยแล้ว การปรับภูมิทัศน์ภายในโรงพยาบาลรวมทั้งการดูแลผู้ให้บริการมีความภาคภูมิใจและทำงานอย่างมีความสุข เพื่อมุ่งหวังให้ผู้ป่วยโรคสมอง ไขสันหลัง และระบบประสาทได้รับการรักษาและบริการที่ดีที่สุดในทุกมิติ ผู้ให้บริการมีความสุข และประชาชนคนไทยมีสุขภาพดีทั้งกายและใจตลอดไป

 

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org

เรื่องที่เกี่ยวข้อง