ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ขั้นตอนบัตรทองใช้บริการ “ร้านยา” เจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ ทุกที่ที่มีโลโก้ฟรี! เผยแนวเบิกจ่ายงบฯ

ตามที่รัฐบาลประกาศเดินหน้าโครงการ “ 30 บาทรักษาทุกที่ในพื้นที่ กทม.”  โดยประชาชนสามารถเข้ารับบริการยังหน่วยบริการปฐมภูมิ หรือหน่วยนวัตกรรมต่างๆของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)  ที่มีโลโก้ “30 บาทรักษาทุกที่” โดยสปสช. ได้ขยายขอบเขตการให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Common Illnesses) ของร้านยาคุณภาพ  ให้จ่ายยาตามกลุ่มอาการเพิ่มขึ้นเป็น 32 กลุ่มอาการ จากเดิม 16 กลุ่มอาการ เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2567 เป็นต้นไปนั้น

ขยายกลุ่มเจ็บป่วยเล็กน้อยจาก 16 เป็น 32 อาการ

เกี่ยวกับเรื่องนี้  ทาง Hfocus มีโอกาสได้สัมภาษณ์  “ภก.คณิตศักดิ์ จันทราพิพัฒน์”  ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. ให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้ผู้มีสิทธิบัตรทองสามารถเข้ารับบริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ในร้านยาคุณภาพที่ร่วมโครงการกับ สปสช. โดยจะจ่ายยาใน 16 กลุ่มอาการ แต่ปัจจุบันเพิ่มเป็น 32 กลุ่มอาการ เริ่มใช้ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2567 เป็นต้นไป  รวมพื้นที่ กทม.ครอบคลุม 30 บาทรักษาทุกที่เฉพาะหน่วยบริการปฐมภูมิ และต้องมีโลโก้ 30 บาทรักษาทุกที่

ภก.คณิตศักดิ์ กล่าวว่า เดิมทีผู้ป่วยบัตรทอง เข้ารับบริการหน่วยบริการปฐมภูมิก่อน อย่างต่างจังหวัด เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) อย่าง กทม. ก็จะเป็นศูนย์บริการสาธารณสุข  คลินิกชุมชนอบอุ่น  แต่หากมีอาการมากขึ้น จะส่งต่อไปยังสถานบริการขนาดใหญ่  แต่ครั้งนี้จะเน้นอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่เจ็บป่วยเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องไปรพ. หรือคลินิก แต่สามารถแจ้งอาการกับเภสัชกร หากเข้าข่าย 32 กลุ่มอาการสามารถรับยาได้ ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ดสปสช.) แล้ว

ร้านยาต้องติดตามอาการผู้ป่วย 3-5วัน

ภก.คณิตศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับ 32 กลุ่มอาการจะเน้นการดูแลอาการเบื้องต้น ยกตัวอย่าง  มีน้ำมูก คัดจมูก  มีแผลในปาก  ตุ่มน้ำใสที่ปาก  แผลน้ำร้อนลวกไม่รุนแรง  อาการคันผิวหนัง/ศีรษะ  ฝี หนองที่ผิวหนัง  มีอาการชา  เป็นต้น ซึ่งหากผู้ป่วยมีอาการมากขึ้น เภสัชกรจะมีคำแนะนำให้พบแพทย์ ทั้งจากคลินิก และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ต่อไป อย่างไรก็ตาม  สภาเภสัชกรรม ได้ทำมาตรฐานในการดูแลให้กับเภสัชกรประจำร้านยา  

“การกำหนดการดูแล 32 อาการเบื้องต้นก็เพื่อให้เกิดความชัดเจน  ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่า ไปขอยาเภสัชกรอย่างเดียว   หากท่านใดเจ็บป่วย แต่อยู่นอกเหนือ 32 อาการ ให้ไปพบแพทย์ที่คลินิกชุมชนอบอุ่นในโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่  แต่หากเจ็บป่วยเล็กน้อยและอยู่หนึ่งใน 32 อาการสามารถรับบริการร้านยา ที่มีโลโก้ได้ทุกที่ทั่วประเทศ” ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช.กล่าว

ภก.คณิตศักดิ์ กล่าวอีกว่า การดึงร้านยาเข้าร่วมโครงการ เรียกว่าเป็นนวัตกรรมที่ทาง สปสช.ดำเนินการให้ แต่เรามีเงื่อนไขกับร้านยาที่เข้าร่วม โดยเภสัชกรที่จ่ายยาพร้อมให้คำแนะนำไปแล้ว จะต้องมีการโทรติดตาม หรือไลน์ติดตามอาการผู้ป่วยภายใน 3-5 วัน เพื่อให้ทราบว่าอาการดีขึ้น หรือถ้าแย่ลงก็จะแนะนำตามความเหมาะสม

เมื่อถามว่าปัจจุบันมีร้านยาเข้าร่วมโครงการจำนวนเท่าไหร่ และร้านยาขององค์การเภสัชกรรมเข้าร่วมหรือไม่ ผู้ช่วยเลขาฯ กล่าวว่า ปัจจุบันร้านยาเข้าร่วมโครงการมากกว่า 4,000 แห่งทั้งประเทศ โดยในกรุงเทพมหานครมีประมาณ 400 กว่าร้านยา  ทั้งนี้  สปสช.เปิดรับสมัครร้านยาที่จะเข้าร่วมโครงการทุกที่ รวมถึงร้านยาคณะเภสัชศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็เข้าร่วม ยกตัวอย่าง ร้านโอสถศาลา ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สิ่งสำคัญขอให้สังเกต

อย่ากังวลแพทย์ห่วงเภสัชฯวินิจฉัยโรค  

เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้มีแพทย์บางกลุ่ม ตั้งคำถามความเหมาะสมในการวินิจฉัยอาการและจ่ายยาของเภสัชกร จากเดิม 16 อาการเป็น 32 อาการว่า ไม่ใช่หน้าที่ของวิชาชีพเภสัชฯหรือไม่ ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า  ทุกวิชาชีพ  รวมถึงเภสัชกร มีพ.ร.บ.วิชาชีพของตนเอง ซึ่งการดำเนินการใดๆ ย่อมต้องอยู่ภายใต้พ.ร.บ.ฯ เป็นไปตามกติกาอยู่แล้ว และเภสัชกรไม่ได้ทำอะไรที่เกินหน้าที่ ก่อนจะจ่ายยา ย่อมต้องใช้ดุลยพินิจพอสมควร

อ่านต่อ https://www.hfocus.org/content/2024/09/31527