สธ.ร่วม มท. ผนึกกำลังกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบบี และซี ชี้เป็นปัญหาคุกคามทำผู้ป่วยเกิดภาวะตับอักเสบ และมะเร็งตับในอนาคต ด้านกรมควบคุมโรคเผยคนเกิดก่อน พ.ศ.2535 ตรวจภูมิคุ้มกันเพื่อหาโรคและฉีดวัคซีนป้องกัน ชี้พฤติกรรมเสี่ยงอะไรบ้างน่ากังวล เร่งร่วมมือ อปท. คัดกรองกลุ่มเสี่ยงเข้าสู่การรักษา นำร่องแล้ว 44 พื้นที่ใน 20 จังหวัด

 

เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบ ระหว่าง นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดสธ. กับนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) โดยนายอนุทิน กล่าวว่า โรคตับอักเสบเป็นภัยคุกคามสุขภาพประชาชน มีโอกาสเสียชีวิตสูง ความร่วมมือครั้งนี้ มท.จะช่วยในการค้นหา คัดกรอง กลุ่มเสี่ยงและส่งเข้าระบบการรักษาในสถานพยาบาลเพื่อดูแลต่อไป  

 

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี เป็นปัญหาคุกคามทำให้ผู้ติดเชื้อมีปัญหาตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง ตับวาย และกลายเป็นมะเร็งตับ  ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีผู้ติดเชื้อตับอักเสบบีในประเทศไทยราว ๆ 2.2 ล้านคน ตับอักเสบซีประมาณ 3-8 แสนคน ดังนั้นจึงร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อคัดกรองกลุ่มเสี่ยงเข้าสู่การรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งที่ผ่านมามีการทำโครงการนำร่อง 44 พื้นที่ 20 จังหวัดได้ผลดี  การลงนามครั้งนี้ก็จะขยายการดำเนินการไปทั่วประเทศเพื่อบรรจุเป้าหมายลดการป่วยจากไวรัสตับอักเสบบีต่ำกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ จากตับอักเสบซีน้อยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และลดโรคที่เกี่ยวข้องกับไวรัสทั้ง 2 ตัว น้อยกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ 

 

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงมหาดไทยกำลังเร่งดำเนินการแก้ปัญหาความยากจนของคนไทย ซึ่งจากการประชุมหารือกันพบว่าการที่ประชาชนมีเชื้อไวรัสตับอักเสบนั้นจะทำให้เป็นโรคตับแข็ง และพัฒนาเป็นโรคมะเร็งตับ ซึ่งการมีปัญหาสุขภาพเช่นนี้ โดยเฉพาะกับคนที่เป็นเสาหลักของครอบครัว ทำมาหากินไม่ได้ ก็จะมีปัญหาความยากจนตามมา ดังนั้น การลงนามความร่วมมือครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาความยากจนของประชาชนได้

พญ.ชีวนันท์ เลิศพิริยสุวัฒน์  ผู้อำนวยการกองโรคเอดส์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค  กล่าวว่า สิ่งสำคัญในการลดผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี คือ ต้องคัดกรองและรักษาให้เร็ว โดยการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงเป็นกลุ่มคนที่เกิดก่อนปีพ.ศ.2535  เนื่องจากคนเกิดหลังพ.ศ.2535 จะได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีในชุดสิทธิประโยชน์ของเด็กอยู่แล้ว ดังนั้น ในกลุ่มที่เกิดก่อนปี 2535 จึงควรไปตรวจภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ และสามารถฉีดวัคซีนป้องกันได้ ทั้งนี้ โรคดังกล่าวยังสามารถติดได้จากการมีเพศสัมพันธ์ อย่างสามีภรรยา หากคนใดคนหนึ่งมีเชื้อจะถ่ายทอดต่อกัน และยังถ่ายทอดไปลูกได้ แต่ปัจจุบันมีวัคซีนให้เด็กแล้ว

“กลุ่มผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีปัจจุบันมี 2.2 ล้านคน ซึ่งยังไม่มียารักษา แต่มียาช่วยไม่ให้ตับถูกทำลาย ซึ่งทางที่ดีที่สุดเราต้องคัดกรองให้เร็ว และหากกลุ่มไหนฉีดวัคซีนได้ต้องรีบฉีดวัคซีนป้องกัน” พญ.ชีวนันท์ กล่าว

พญ.ชีวนันท์ กล่าวอีกว่า ส่วนไวรัสตับตับอักเสบซีมีประมาณ 3 แสน -7 แสนคน ตัวเลขไม่ชัดเจน  โดยกลุ่มนี้มียารักษาหายขาดได้ กิน 12 สัปดาห์ ซึ่งต้องตรวจคัดกรองให้เร็วเช่นกัน  ซึ่งอาการของไวรัสตับอักเสบบีและซีจะเหมือนกัน คือ อาการเฉียบพลัน อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด และหากกรณีตับถูกทำลายมากๆ จะมีภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องมาน ท้องโต

พญ.ชีวนันท์ เลิศพิริยสุวัฒน์

“กลุ่มผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีในไทยเฉลี่ยพบ 4-5%  โดย 90% หายขาดได้ แต่มี 10% เป็นเรื้อรัง และในระยะยาว 20-30 ปี พบ 10% อาจลุกลามตับแข็ง หรือมะเร็งตับ ซึ่งสวนทางกลับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีในไทยพบเฉลี่ย 0.9%  โดยไวรัสตับอักเสบซี 90% ไม่หายขาด และ 10% หายได้  อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มไวรัสตับอักเสบซีมักพบมากในบางพื้นที่ อย่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบมาก และยังพบในกลุ่มสักยันต์สมัยก่อน หมอตำแย เพราะติดต่อผ่านเลือด การมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะชายรักชาย ดังนั้น ขอเน้นย้ำผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง หรือคนเกิดก่อนปี 2535 ขอให้ไปตรวจภูมิคุ้มกัน ซึ่งสามารถไปตรวจได้ในรพ.ทุกแห่ง แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง” พญ.ชีวนันท์ กล่าว