“อนุทิน” เซ็นปลดล็อก “กัญชา” ออกจากยาเสพติดมีผล 120 วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

รองนายกฯ-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำทีมผู้บริหาร สธ. เซ็นประกาศปลด “กัญชา” ออกจากยาเสพติดมีผล 120 วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ย้ำ! ประชาชนปลูกได้ไม่จำกัดจำนวน แต่ขอให้ใช้ทางการแพทย์ หากพบใช้เป็นยาเสพติดมีโทษรุนแรง พร้อมปัดตอบปมการเมือง สวนกลับเหตุผิดงาน

เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ได้ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (ยส.5) อย่างเป็นทางการ ว่า วันนี้เป็นหน้าประวัตศาสตร์การปลดกัญชา และกัญชงออกจากยาเสพติด ยกเว้นสารสกัด THC เกิน 0.2 % ซึ่งจะมีผลบังคับใช้หลังประกาศราชกิจจานุเบกษาแล้ว 120 วัน โดยเน้นการใช้ทางการแพทย์ ศึกษาวิจัย ทั้งนี้ ระหว่างช่องวาง 120 วันนี้ ประชาชนสามารถรวมตัวกันในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน 7 คน ปลูกแล้วรวมตัวกันได้ แต่หากประกาศมีผลบังคับใช้แล้ว ประชาชนสามารถปลูกในครัวเรือนได้ไม่จำกัดว่าปลูกกี่ต้น ปลุกกี่ไร่ แต่ต้องไม่มีการเอาไปใช้เป็นยาเสพติด กฎหมายยาเสพติดยังมีโทษรุนแรงอยู่ กระทรวงสาธารณสุชพร้อมกำกับดูแลไม่ให้มีการนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย

“เมื่อพ้น 120 วันหลังประกาศในราชกิจจานุเษาประชาชนก็สามารถปลูกได้ที่บ้าน โดยไม่จำกัดจำนวนต้น แต่จะต้องมีการจดแจ้ง ซึ่งเราจะมีการผลักดันให้สามารถจดแจ้งผ่านแอปพลิเคชั่นได้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน ทั้งนี้ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย พรบ.กัญชา กัญชง ยังเน้นย้ำในเรื่องการแพทย์เท่านั้น” นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามถึงร่างพรบ.กัญชา กัญชง ที่พรรคภูมิใจไทยเสนอต่อสภา โดยท่านประธานสภาให้นำร่างส่งกลับเข้า ครม.อีกครั้ง จะมีแนวโน้มส่งเข้าสภาทัน 120 วันหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี รับทราบตามที่ท่านรองนายกวิษณุ นำเสนอเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งท่านายกรัฐมนตรีสั่งการให้เร่งผลักดันร่างดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ที่ประกาศกระทรวง ยส.5 ออกมาได้ก็เพราะท่านนายกฯ สั่งการให้เร่งดำเนินการให้ทุกฝ่ายหาข้อสรุปแล้วทำให้ประกาศปลดกัญชาออกจากยาเสพติด สำเร็จให้ได้ ถือเป็นการเข้าใจและการสนับสนุนของผู้นำประเทศ

ภายในงานดังกล่าวได้มีผู้สื่อข่าวสอบถามถึงกรณีที่ พรรคภูมิใจไทยยกคณะ ไม่เข้าร่วมการประชุมครม.ในวันนี้ นายอนุทิน ตอบกลับทันทีว่า “ถามผิดงาน” จากนั้นก็ได้ยุติการแถลงข่าว พร้อมเดินขึ้นห้องทำงานทันที

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org