ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ตัวแทนชมรมกลุ่มโรคเรื้อรัง ยื่นหนังสือ สธ. เสนอให้ภาครัฐ เพิ่มสิทธิประโยชน์บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคโควิด-19 ด้วยวัคซีนในกลุ่มเปราะบาง 608 พร้อมสนับสนุนให้ความรู้เรื่องโรคโควิด ให้ ปชช. เข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ  

เมื่อวันที่ 26 ก.ย. นาย​กอง​ตรี​ ดร.ธน​กฤต จิตร​อารี​ย์​รัตน์​ ที่ปรึกษา​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​สาธารณสุข​ รับหนังสือจากผู้แทนกลุ่มชมรมเบาหวานโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ชมรมผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ มูลนิธิโรคเอสแอลอี อาร์ต ฟอร์ แคนเซอร์ บาย ไอรีล ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย สมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทยและตัวแทนเครือข่ายพลเมืองขับเคลื่อนสิทธิด้านสุขภาพยื่นหนังสือข้อเสนอการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่อการรับรู้ข่าวสุขภาพและโรคโควิด 19 ในกลุ่มเสี่ยงและหารือประเด็นข้อเรียกร้องโดย เสนอให้ภาครัฐสนับสนุนให้ความรู้เรื่องโรคโควิด 19 กับสังคมอย่างถูกต้อง

โดยเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนช่องทางการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารทางด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เสนอให้ภาครัฐให้ความสำคัญกับการเพิ่มสิทธิประโยชน์บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคโควิด-19 ด้วยวัคซีนในกลุ่มเปราะบาง 608 อาทิ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ และเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือน จึงได้รับหนังสือ พร้อมนำเสนอกระทรวง​สาธารณ​สุข​ ภาครัฐ เพื่อให้ความสำคัญเร่งด่วน เพิ่มสิทธิประโยชน์บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคโควิด-19 ด้วยวัคซีนในกลุ่มเปราะบางต่อไป

ทั้งนี้ กลุ่มตัวแทนชมรมกลุ่มโรคเรื้อรัง และประชาชนกลุ่มเสี่ยง ได้ยื่นข้อเรียกร้องสำคัญ ได้แก่

1. เสนอให้ภาครัฐสนับสนุนให้ความรู้เรื่องโรคโควิด 19 กับสังคมอย่างถูกต้อง โดยการจัดการและกระจายความรู้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น สื่อออนไลน์ทางการ และโซเชียลมีเดีย ซึ่งต้องมีการตรวจสอบและอ้างอิงจากแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้

2. เสนอให้ภาครัฐสนับสนุนช่องทางการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข หรือแพลตฟอร์มและประกาศข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคโควิด 19 ที่มีการจัดการโดยภาครัฐ หรือสภาวิชาชีพการแพทย์

3. เสนอให้ภาครัฐให้ความสำคัญในการเพิ่มสิทธิประโยชน์บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคโควิด 19 ด้วยวัคซีนในกลุ่มเปราะบาง 608 อาทิ ผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป ผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ และเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือน โดยให้กับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน ได้รับวัคซีนไม่ครบ และไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือ ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นมานานเกิน 3 เดือน เป็นไปตามคำแนะนำของสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย 

น.ส.ไอรีล ไตรสารศรี ผู้ก่อตั้ง อาร์ต ฟอร์ แคนเซอร์ บาย ไอรีล ตัวแทนประชาชนในกลุ่มเสี่ยง กล่าวว่า  สิ่งที่อยากให้กระทรวงสาธารณสุข หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา คือ อยากให้กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งจัดระบบการให้บริการทางการแพทย์ หรือวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้เพียงพอต่อความต้องการและเป็นไปอย่างมีคุณภาพ ให้ครอบคลุมในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ประชาชนในกลุ่มเสี่ยง และในกลุ่ม 608 ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบาง เป็นกลุ่มคนที่ต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิค 19 มากที่สุด

นอกจากนี้ ยังขอให้มุ่งเน้นเรื่องการสื่อสาร และให้ความรู้ในเรื่องของโรคโควิด 19 อย่างถูกต้อง ชัดเจน ในหลาย ๆ ช่องทาง เพื่อให้เข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด โดยต้องเป็นข้อมูลที่มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้ เนื่องจากปัจจุบันข้อมูลเท็จ หรือข่าวปลอม มีแพร่กระจายให้เห็นมากมายบนโลกสังคมออนไลน์  โดยมีเจตนาเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง คลาดเคลื่อน และบิดเบือน ซึ่งส่งผลกระทบทั้งต่อระบบสาธารณสุข และการรักษา การดูแลตนเองของผู้ป่วยได้

ด้านนางศุภลักษณ์ จตุเทวประสิทธิ์ ประธานชมรมเบาหวาน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ อีกหนึ่งเสียงจากตัวแทนชมรมกลุ่มโรคเรื้อรัง เปิดเผยว่า  ผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเสี่ยงระดับต้น ๆ ของภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อโรคโควิด 19 จะทำให้ผู้ป่วยมีไข้เฉียบพลัน เกิดภาวะขาดน้ำ ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีอัตราการเสียชีวิตที่มากขึ้น ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับวัคซีนโควิด 19 อย่างเร่งด่วน 

นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรทราบวิธีการดูแลตนเองอย่างเหมาะสมและถูกต้อง แต่ด้วยปัจจุบันมีช่องทางมากมายให้เราได้สื่อสาร ข้อมูลมีมากขึ้นไหลผ่านกันรวดเร็ว ทั้งที่เป็นประโยชน์ และยังมีเนื้อหาที่เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว เนื้อหาที่นำไปสู่ความเข้าใจผิด ข้อมูลไม่ถูกต้อง ซึ่งถือเป็นข้อมูลเท็จที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทั้งสังคม และบุคคลในวงกว้าง โดยเฉพาะข่าว หรือข้อมูลที่เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิด 19 ซึ่งหากไม่ถูกต้อง อาจส่งผลเสียต่อการรักษา และชีวิตของผู้ป่วยได้ 

สำหรับข้อเสนอที่อยากให้กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญ คือ การจัดการนำเสนอข่าวสารอย่างมีระบบ มีหน่วยงานที่น่าเชื่อถือเป็นผู้กระจายข่าว รวมถึงให้ความสำคัญของการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง กลุ่ม 608 และประชาชนกลุ่มเสี่ยง