ลูกไม่สูบก็ป่วยได้! ไอบุหรี่ไฟฟ้ามือสองกระทบคนใกล้ชิด เสี่ยงอาการหลอดลมอักเสบ หายใจถี่เพิ่มขึ้น เข้าถึงปอดได้ลึก ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจและปอด มีผลต่อสมองที่กำลังพัฒนา ศจย.จับมือภาคีเครือข่าย ย้ำบทบาทครอบครัว ต้องร่วมกันปกป้องสิทธิเด็กจากบุหรี่ไฟฟ้า
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ที่ศูนย์การแพทย์สิริกิติ์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ศ.พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า ปัจจุบันพบข่าวที่พ่อแม่ให้ลูกใช้บุหรี่ไฟฟ้า ด้วยความเข้าใจผิดที่ว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่มีอันตราย และไม่ผิดกฎหมาย ศจย.จึงร่วมกับภาคีเครือข่ายแถลงข่าวถึง “บทบาทครอบครัวในการปกป้องสิทธิเด็กจากภยันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า” ขึ้น เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า
"ครอบครัวต้องเข้าใจบทบาทของ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และต้องปกป้องสิทธิเด็กจากภยันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินนโยบายและบังคับใช้กฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาด เนื่องจากผลิตภัณฑ์นี้ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคม เราต้องปกป้องเด็กและสมาชิกในครอบครัวจากอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าที่มุ่งเป้าไปยังเด็กและเยาวชน ในภาวะที่เด็กเกิดน้อยลง ยิ่งต้องช่วยกันปกป้องให้สมองของอนาคตของชาติไม่ถูกทำลายไปด้วย" ศ.พญ.สุวรรณา ย้ำ
ด้านรศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้แทนราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติด ทำให้สมองหลั่งสารโดปามีน เกิดความสุขผ่อนคลายในระยะแรก แต่ผลเสียของนิโคตินทำให้หลอดเลือดหดตัว เกิดการอักเสบและมีอนุมูลอิสระ เกิดผลกระทบต่อสุขภาพกับเด็กที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าและอาจทำให้เกิดโรคปอดอักเสบรุนแรงจากบุหรี่ไฟฟ้า (EVALI) เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ แตกต่างกันที่ในเด็กจะมีผลกระทบต่อสมองที่กำลังพัฒนาของเด็กตั้งแต่ในครรภ์จนถึงอายุ 25 ปี ซึ่งส่งผลต่อสมองส่วนหน้าที่ควบคุมความสามารถในการรับรู้ การคิดวิเคราะห์ ความจำ สมาธิ และอารมณ์ บุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นประตูเปลี่ยนผ่านไปใช้บุหรี่มวนเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่าเมื่ออายุมากขึ้น หรือใช้ทั้งสองอย่างควบคู่กัน และอาจนำไปสู่การใช้ยาเสพติดที่ผิดกฎหมายได้ในอนาคต
“ไอบุหรี่ไฟฟ้ามือสองนั้น ทางสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ผู้อยู่ใกล้ผู้สูบมีความเสี่ยงต่ออาการหลอดลมอักเสบและหายใจที่ถี่เพิ่มขึ้น ไอบุหรี่ไฟฟ้ามีโลหะหนักและอนุภาคขนาดเล็กกว่า PM 2.5 ที่สามารถเข้าไปถึงปอดได้ลึกซึ่งอาจทำให้การทำงานของหัวใจและปอดแย่ลง และอาจถึงขั้นเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ จึงควรหลีกเลี่ยงไม่ไห้เด็กใช้หรือถูกไอบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อสุขภาพของตัวเด็กเอง ดังนั้น เมื่อคนในครอบครัวสูบบุหรี่ไฟฟ้า อย่าคิดว่าไม่กระทบต่อคนใกล้ตัว ” รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าว
นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ กล่าวว่า บทบัญญัติกฎหมายที่ใช้คุ้มครองเด็กจากพิษภัยของบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้ามีอยู่หลากหลาย ในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ก็มีอย่างน้อย 2 มาตราในมาตรา 26 ก็มี 2-3 อนุมาตรา อีกทั้งยังมีมาตรา 45 ในกรณีที่เด็กสูบบุหรี่จะต้องมีกระบวนการในการปรับแก้ไขพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของเด็ก เฉพาะพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กมีประเด็นกล่าว ได้แก่
1. มาตรา 26 อนุ 10 ห้ามจำหน่ายแลกเปลี่ยนหรือให้สุราหรือบุหรี่แก่เด็ก
2. กรณีใช้เด็กไปซื้อบุหรี่อาจขัดต่อข้อห้ามตามมาตรา 26 อนุ 6 ใช้จ้างหรือวานให้เด็กทำงานหรือกระทำการอันอาจเป็นอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตหรือขัดขวางต่อพัฒนาการของเด็ก
3. สูบบุหรี่ทำให้เด็กได้รับควันบุหรี่มือสองมีความผิดตามมาตรา 26 วงเล็บ 1 เพราะถือเป็นการกระทำทารุณกรรมต่อเด็กดังที่บัญญัติในมาตรา 4
การพ่นควันบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้า จนเด็กสูดควันหรือไอเข้าไปอาจเป็นการใช้ความรุนแรงต่อเด็กซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัว ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรง 2550 มาตรา 4 วรรค 1 แม้ว่าพระราชบัญญัติฉบับนี้จะระบุถึงการกระทำโดยเจตนาไม่รวมการกระทำโดยประมาท การตีความเกี่ยวกับควันบุหรี่ไม่ว่าจะมาจากบุหรี่มวนหรือไอของบุหรี่ไฟฟ้ามีผลเช่นเดียวกันคือก่ออันตรายให้แก่เด็ก จึงไม่อาจตีความว่ากฎหมายห้ามเฉพาะบุหรี่มวน ในกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองเด็กไม่ได้ระบุถึงรูปแบบของการกระทำ แต่เน้นเนื้อหาของการกระทำคือความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อเด็กจากการกระทำของผู้หนึ่งผู้ใด
บทบัญญัติของพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ได้พยายามดึงเด็กออกจากสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษเป็นภัยจากการสูบบุหรี่ของเด็กซึ่งระบุอยู่ในมาตรา 45 เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พบว่าเด็กสูบบุหรี่ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่มวนหรือบุหรี่ไฟฟ้าก็จำเป็นต้องนำตัวเด็กมามอบให้ผู้ปกครองและร่วมกับผู้ปกครองในการแก้ไขปัญหานี้โดยอาจจะกำหนดแผนบำบัดฟื้นฟูแก่เด็กได้ด้วย ต่อประเด็นที่ว่าเราสามารถออกกฎหมายอนุญาตให้มีการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าได้หรือไม่ จำเป็นต้องพิจารณาจากพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคี โดยเฉพาะอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่มีบทบัญญัติในหลายข้อไม่ว่าจะเป็นข้อ 24 หรือข้อ 33 มีความผูกมัดให้ประเทศไทยต้องดำเนินมาตรการทั้งทางกฎหมายทางการบริหารมาตรการทางสังคมและมาตรการทางการศึกษาหรือการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องพิษภัยของบุหรี่ในเรื่องการห้ามสูบห้ามนำเข้าห้ามผลิตเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึง
"ทำไมไม่ห้ามบุหรี่มวนเด็ดขาดเหมือนบุหรี่ไฟฟ้า เป็นเพราะคนสูบบุหรี่มวนมีจำนวนมากไม่สามารถยุติได้ทันที จึงต้องใช้วิธีค่อย ๆ จำกัดการสูบให้ลดลงเรื่อย ๆ จนกว่าจะอยู่ในระดับที่สามารถออกกฎหมายห้ามได้ ในขณะที่บุหรี่ไฟฟ้ายังไม่มีการสูบในจำนวนมากเท่ากับบุหรี่มวนจึงง่ายกว่าที่จะห้ามเด็ดขาด การไม่ห้ามเด็ดขาดแล้วใช้วิธีการจำกัดวงไม่ให้มีการสูบหรือมีการซื้อขายหรือนำเข้านั้น เห็นอยู่แล้วว่ามีบทบัญญัติที่ห้ามเกี่ยวข้องกับเด็กอย่างเด็ดขาด แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่สามารถห้ามขาดได้ เพราะมีความปะปนกันระหว่างบุหรี่สำหรับผู้ใหญ่และบุหรี่สำหรับเด็กเป็นบุหรี่เหมือนกันหมด"
การกำหนดให้ซื้อขายบุหรี่มวนเป็นซองไม่ยอมให้จำหน่ายเป็นมวนเพื่อต้องการไม่ให้เด็กสามารถซื้อหาได้ในทางปฏิบัติก็ไม่ค่อยได้ผล ดังนั้นมาตรการในการปกป้องเด็กให้พ้นจากพิษภัยของบุหรี่ในกรณีที่จำกัดการสูบการซื้อขายการผลิตอะไรก็ตามไม่สามารถทำโดยมาตรการทางกฎหมายตามลำพัง จำเป็นต้องให้สังคมแวดล้อมเด็กไม่ว่าจะเป็นที่ครอบครัวชุมชนและสถานศึกษามีส่วนร่วมในการเข้ามาคุ้มครองดูแลไม่ให้เด็กต้องรับพิษภัยจากบุหรี่ไม่ว่าจะเป็นการสูบของผู้อื่นหรือเป็นการสูบของเด็กเอง
ด้าน น.ส.ราภรณ์ พงศ์พนิตานนท์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านครอบครัว กรมกิจการสตรีและครอบครัวกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า กรณีบุหรี่ไฟฟ้าที่มีการใช้ในครอบครัว เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง ผิดกฎหมายทั้ง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และอาจเข้าข่ายกระทำความรุนแรงในครอบครัวตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ 2550 ด้วย กรมมีพันธกิจหลัก คือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันครอบครัว และคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว เพื่อให้ครอบครัวสามารถทำหน้าที่ดูแลคนในครอบครัวได้อย่างมีคุณภาพ การให้ความรู้และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งจำเป็น พ่อแม่ ผู้ปกครองควรเป็นตัวอย่างที่ดีในการหลีกเลี่ยงการใช้บุหรี่ไฟฟ้า และให้คำแนะนำแก่ลูกหลานเกี่ยวกับผลกระทบที่เป็นอันตราย
กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กำลังเร่งดำเนินการประสานงานทั้งหน่วยงานภายในและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันสร้างการรับรู้และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าให้แก่ครอบครัว เพื่อป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชน ด้วยหวังว่าสังคมจะมีความเข้าใจและตระหนักถึงผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้า และร่วมมือกันสร้างสังคมที่มีสุขภาพดีและปลอดภัยสำหรับทุกคน
- 435 views