เครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชนต้านภัยยาเสพติด 67 คน เรียกร้องนายกฯ -ประธานบอร์ดป.ป.ส. เร่งเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข นำ “กัญชา” กลับไปเป็นยาเสพติดทันที แล้วจึงทำกฎหมายกัญชาโดยเร็ว หากดันแต่ร่าง พ.ร.บ.ฯ กัญชาจะอยู่ในสภาวะเพื่อสันทนาการ ยาวนานถึง 4 ปี ผู้ป่วยติดกัญชาและจิตเวชจะเพิ่มขึ้นถึง 6-29 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนปลดกัญชาเสรีในปี 2565
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม เครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชนต้านภัยยาเสพติด 67 คน เผยแพร่แถลงการณ์ให้สื่อมวลชนประเด็น บทวิเคราะห์ “เปรียบเทียบทางเลือกนโยบายกัญชา: นำหรือไม่นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด” ระบุว่า
ในประเทศไทย กัญชาถูกควบคุมแบบเข้มงวด ด้วยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ตั้งแต่ปี 2522 ไม่สามารถใช้กัญชาทั้งเพื่อสันทนาการและเพื่อการแพทย์ ต่อมาให้เริ่มใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ได้ แต่ยังคงห้ามใช้เพื่อสันทนาการ ตั้งแต่ปี 2562 หลังจากนั้นกัญชาถูกควบคุมด้วยประมวลกฎหมายยาเสพติด ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 ซึ่งยังคงห้ามใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ แต่ยกเว้นให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้เช่นเดิม
ล่าสุด กัญชา ถูกปลดออกจากการเป็นยาเสพติดในวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นที่ไม่ว่าใครก็ตามสามารถใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้ในประเทศไทย แม้แต่เด็ก (แม้ต่อมาประเทศไทยจะมีมาตรการห้ามจำหน่ายกัญชาแก่เด็ก แต่ก็ไม่มีกฎหมายใดห้ามเด็กสูบกัญชาเลย) นับจนถึงวันนี้ 30 กรกฎาคม 2567 ประเทศไทยอยู่ภายใต้สภาวะกัญชาเสรี “ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้” เป็นเวลากว่าสองปีแล้ว แม้เหตุผลของการปลดกัญชาจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และไม่สนับสนุนกัญชาเพื่อสันทนาการก็ตาม แต่ผลกระทบจากการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม ทั้งด้านสุขภาพ สังคม และการเสพกัญชาของเยาวชน (ดูภาคผนวก)
ขณะนี้มีทางเลือกของนโยบายกัญชาสองทางเลือก คือ (ดูรูปที่ 1 ประกอบการทำความเข้าใจปฏิทินเวลาของช่วงเวลาที่ “ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้” เปรียบเทียบระหว่างนโยบายไม่นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดระหว่างที่ทำกฎหมายกัญชา และนโยบายนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดระหว่างที่ทำกฎหมายกัญชา)
ทางเลือกที่ 1: “ใช้กฎหมายกัญชาควบคุม โดยไม่นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด”
สมมติว่าประเทศไทยนำร่างกฎหมายกัญชาเข้าพิจารณาในครึ่งปีหลังของปี 2567 และใช้เวลาสองปีจึงผ่านสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จะได้กฎหมายกัญชาออกมาบังคับใช้ปลายปี 2569 ประเทศไทยจะตกอยู่ในสภาวะ “ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้” เป็นเวลาถึง 4 ปี ปัญหากัญชาจะเต็มประเทศไทยก่อนการเลือกตั้งปี 2570
ผลกระทบที่ตามมาจะมากมายมหาศาล ตัวอย่างเช่น ดูรูปที่ 2 ประกอบการประมาณการจำนวนผู้ป่วยติดกัญชาและโรคจิตจากกัญชาต่อเดือน ที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กรณีไม่นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด เมื่อการปลดกัญชาจากการเป็นยาเสพติดครบสี่ปี (ปี 2569) จะมีผู้ป่วยติดกัญชาที่รับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน จำนวนปีละ 95,148 คน และ 21,048 คน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 6 และ 15 เท่า ตามลำดับ และ จำนวนผู้ป่วยโรคจิตจากการใช้กัญชาที่รับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน จำนวนปีละ 54,048 คน และ 29,052 คน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 7 และ 29 เท่า ตามลำดับ กล่าวโดยย่อ “หากปล่อยให้ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้เป็นเวลา 4 ปี จะมีผู้ป่วยติดกัญชาและผู้ป่วยโรคจิตจากการใช้กัญชาเพิ่มขึ้นถึง 6-29 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนปลดกัญชาเสรีในปี 2565”
ทางเลือกที่ 2: “นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดทันที แล้วเร่งทำกฎหมายกัญชา”
ทำเช่นนี้กัญชาจะกลับไปอยู่ภายใต้การควบคุมของประมวลกฎหมายยาเสพติด ที่ห้ามใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ แต่ให้ใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ได้ จำนวนผู้ป่วยทั้งสี่กลุ่มที่กล่าวไว้ข้างต้นจะลดกลับลงมาสู่สภาวะปกติก่อนปลดกัญชาจากการเป็นยาเสพติดในปี 2565 แล้วเมื่อกฎหมายกัญชาผ่านสองสภาออกมาบังคับใช้ ประเทศไทยจะอยู่ภายใต้สภาวะ “ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้” เป็นเวลาเพียง 2 ปี
เครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชนต้านภัยยาเสพติด จึงขอเรียกร้องให้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) และ ฯพณฯ รองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ส. เร่งพิจารณาเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดทันที แล้วเร่งทำกฎหมายกัญชาโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ปัญหากัญชาเพื่อสันทนาการลุกลามจนไม่อาจแก้ไขได้ในภายหลัง
รูปที่ 1 ปฏิทินเวลาของช่วงเวลาที่ “ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้” เปรียบเทียบระหว่างนโยบายไม่นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด และนโยบายนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ระหว่างที่ทำกฎหมายกัญชา
รูปที่ 2 ประมาณการจำนวนผู้ป่วยติดกัญชาและโรคจิตจากกัญชาต่อเดือน ที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กรณีไม่นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด เมื่อการปลดกัญชาจากการเป็นยาเสพติดครบสี่ปี (ปี 2569)
หมายเหตุ:
- กราฟแท่งที่เป็นเส้นปะ เป็นการคำนวณของผู้เขียนบทความวิชาการนี้ โดยอ้างอิงอัตราการเพิ่มขึ้นที่คำนวณจากตัวเลขจำนวนผู้ป่วยที่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วที่เป็นกราฟแท่งเส้นทึบ
- ในปี 2569 ปีที่ 4 หลังปลดกัญชาจากการเป็นยาเสพติด จำนวนผู้ป่วยเสพติดกัญชารักษาแบบผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน จะเพิ่มเป็น 95,148 คน (7,929 x 12 เดือน) และ 21,048 คน (1,754 x 12 เดือน) คิดเป็นเพิ่มขึ้น 6 และ 15 เท่า ตามลำดับ และ จำนวนผู้ป่วยโรคจิตจากการใช้กัญชารักษาแบบผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน จะเพิ่มเป็น 54,048 คน (4,504 x 12 เดือน) และ 29,052 คน (2,421 x 12 เดือน) คิดเป็นเพิ่มขึ้น 7 และ 29 เท่า ตามลำดับ กล่าวโดยย่อจะมีผู้ป่วยติดกัญชาและผู้ป่วยโรคจิตจากการใช้กัญชาเพิ่มขึ้นถึง 6-29 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนปลดกัญชาเสรีในปี 2565
ทั้งนี้ รายชื่อเครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชน ต้านภัยยาเสพติด ประกอบด้วย
|
อดีตกรรมการแพทยสภา อดีตอธิบดีกรมสุขภาพจิต และ อดีตอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข |
|
อดีตเลขาธิการ ป.ป.ส. และ อดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม |
|
อดีตเลขาธิการ ป.ป.ส. |
|
ที่ปรึกษาคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ สหประชาชาติ |
|
นักวิทยาศาสตร์ Centre for Addiction and Mental Health, Canada |
|
ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) กุมารแพทย์ผู้เชียวชาญด้านการแพทย์วัยรุ่น และ ผู้จัดการโครงการต้นทุนชีวิต ประเทศไทย |
|
ศาสตราจารย์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
|
ศาสตราจารย์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
|
ประธานชมรมจิตเวชศาสตร์การเสพติดแห่งประเทศไทย |
|
รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และ อาจารย์ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล |
|
นายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย |
|
อายุรแพทย์พิษวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล |
|
ที่ปรึกษา ศูนย์วิจัยยาเสพติด วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
|
หน่วยวิชาการเครือข่ายนักสาธารณสุขจัดการปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ (สปสส.) คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล |
|
ประธานเครือข่ายภาคประชาชนป้องกันภัยยาเสพติด |
|
นักพัฒนางานวิชาการ ศูนย์วิชาการสารเสพติดภาคเหนือ |
|
ภาควิชาจิตเวช คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล |
|
สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทร์บรมราชชนนี |
|
อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ขอนเก่น |
|
แพทย์เกษียณ จบการศึกษาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล |
|
แพทย์เกษียณ จบการศึกษาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล |
|
แพทย์เกษียณ จบการศึกษาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล |
|
แพทย์เกษียณ จบการศึกษาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล |
|
แพทย์เกษียณ จบการศึกษาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล |
|
ข้าราชการบำนาญ |
|
อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
|
ผู้อำนวยการฝ่ายแพทย์ รพ.บางโพ และอดีตผู้อำนวยการ รพ.พระมงกุฏเกล้าฯ |
|
ผู้อำนวยการฝ่ายคุณภาพ รพ.หัวเฉียว |
|
กลุ่มงานออร์โธปิดิกส์ รพ.มหาราชนครราชสีมา |
|
อายุรแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี |
|
แพทย์เกษียณ จบการศึกษาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล |
|
กลุ่มงานอายุรกรรม รพ.มหาราชนครราชสีมา |
|
นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ รพ.กลาง |
|
นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ รพ.กลาง |
|
นายแพทย์ชำนาญการ รพ.บุรีรัมย์ |
|
ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนไม่นะกัญชาและยาเสพติด (YNAC) |
|
อดีตผู้อำนวยการรพ.มหาสารคาม |
|
แพทย์ รพ.บำรุงราษฎร์ |
|
Auditor บริษัทมหาชนหลายแห่ง |
|
วิศวกร |
|
เจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับกระจก |
|
แพทย์เกษียณ อดีตอาจารย์คณะแพทย์ รามาธิบดี |
|
แพทย์เกษียณ จบการศึกษาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล |
|
ศิษย์เก่าคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล |
|
ศิษย์เก่าคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล |
|
ที่ปรึกษาคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล |
|
แพทย์เกษียณ กรมการแพทย์ทหารบก |
|
อดีตผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี |
|
อดีตอาจารย์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล |
|
อดีตอาจารย์ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล |
|
ศิษย์เก่าคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล |
|
ศิษย์เก่าคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล |
|
แพทย์เกษียณ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า กรมแพทย์ทหารบก |
|
ศิษย์เก่า คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, แพทย์ รพ.สุขุมวิท |
|
ศิษย์เก่า คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, แพทย์ รพ.กรุงเทพ |
|
แพทย์เกษียณ รพ.พระมงกุฏเกล้า กรมแพทย์ทหารบก |
|
ที่ปรึกษาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล |
|
อดีตรองคณบดี คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล |
|
ข้าราชการเกษียณ รพ.พระมงกุฏเกล้า กรมแพทย์ทหารบก |
|
กรรมการและเหรัญญิก ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย |
|
แพทย์โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน |
|
ศิษย์เก่า คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล |
|
แพทย์แผนภูมิแพ้ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ศูนย์การแพทย์ |
|
ศิษย์เก่า คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล |
|
อดีตผู้อำนวยการ สำนักงานแพทย์ทหาร กองบัญชาการ กองทัพไทย |
|
อดีตอาจารย์ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ |
|
อดีตประธานราชวิทยาลัยโสต ศอ นาสิกฯ และ อดีตเลขาธิการมูลนิธิหูคอจมูกชนบทฯ และ รางวัลคนไทยตัวอย่างมูลนิธิธารน้ำใจ |
ภาคผนวก
“สรุปข้อมูลใหม่ที่สะท้อนปัญหาของนโยบายปลดกัญชาจากการเป็นยาเสพติด 9 มิ.ย. 2567”
การขยายตัวของอุปทานกัญชาเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังปลดกัญชาเสรี และเป็นการจำหน่ายกัญชาเพื่อสันทนาการ
ประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนเข้าถึงกัญชาเพื่อสันทนาการสะดวกขึ้น
ประชาชนและเยาวชนเสพใช้กัญชาเพื่อสันทนาการมากขึ้น
ผลกระทบจากการใช้กัญชาเพิ่มมากขึ้นทันทีและมากมายหลังปลดกัญชาจากการเป็นยาเสพติด
หากไม่รีบนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดทันที ผลกระทบจะขยายตัวมหาศาล
|
1 สาวิตรี อัษณางค์กรชัย และ คณะ. (2567) ภาพรวมผลกระทบจากการปลดล็อคกัญชา: ผลการศึกษาจากชุดโครงการประเมินและกำกับติดตามผลกระทบต่อสังคมและสุขภาพจากนโยบายกัญชา. ประเทศไทย: สาขาระบาดวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
2 บัณฑิต ศรไพศาล และคณะ. (2566). รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการวิจัยเพื่อพัฒนานโยบายการให้บริการกัญชาทางการแพทย์สำหรับประเทศไทย กรณีการศึกษาความเป็นไปได้ของการหารือการดำเนินการวิจัยประเด็นกัญชาร่วมกันระหว่างแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนปัจจุบัน. ประเทศไทย: มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ.
3 รัศมน กัลยาศิริ และคณะ. (2566). รายงานผลการวิจัยเกี่ยวกับปัญหาสารเสพติด. ประเทศไทย: ศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด. https://www.hfocus.org/content/2022/12/26694
4 ทีดีอาร์ไอ. (2567). กัญชาไทย... จะไปทางไหน? ประเทศไทย: ทีดีอาร์ไอ. https://tdri.or.th/2024/03/seminar-cannabis-suggestion/
- 2359 views