ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ผอ.รพ.สต. เปิดใจครั้งแรก ยืนยันไม่ได้เป็นชู้พยาบาลสาว รับทราบว่าโสด เลิกสามีแล้ว ต้องแบกรับกระแสสังคม เผยปรึกษาทนายศึกษาแนวทางสู้คดี   ด้าน “ธนกฤต” ลั่นการเชิญมาให้ข้อมูล ไม่มีผลต่อการพิจารณาของคกก.ตรวจสอบข้อเท็จจริง

 

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 2 กรกฎาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ได้เรียก ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) แห่งหนึ่ง และพยาบาลสาว ในสถานพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ถูกนายเอ นามสมมติ ซึ่งอ้างตัวเป็นสามีของพยาบาลคนดังกล่าว กล่าวหาว่า มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเข้ามาให้ข้อมูล   โดยภายหลังการเข้าให้ข้อมูล ผอ.รพ.สต.ดังกล่าว ได้มีการเปิดใจต่อสื่อมวลนเป็นครั้งแรก

ผอ.รพ.สต.ที่ถูกกล่าวหา ให้สัมภาษณ์ว่า ตนขอยืนยันว่า ตนเองไม่ได้เป็นชู้กับใคร แต่ที่ผ่านมา ตนไม่เคยทราบว่า ฝ่ายหญิงมีสามีอยู่แล้ว ทราบเพียงว่า เคยมีลูก มีสามี แต่เลิกกันไปแล้ว ซึ่งตนมองว่า เรื่องนี้เป็นเพียงอดีตเท่านั้น จึงมีการพูดคุยกันมา นี่เป็นความบริสุทธิ์ใจที่ตนทราบเพียงเท่านี้จริงๆ

ส่วนรสนิยมทางเพศก็ขอยืนยันว่า ตนไม่ได้นิยมซาดิสม์ แต่ที่ผ่านมาตนต้องทนกับกระแสสังคมต่อว่ามาตลอด ส่วนตัวที่ตัวเองถูกกระทำนั้นมองว่าไม่เป็นอะไร เพราะคิดแค่ว่าตนเองไม่ทราบจริงๆ  แต่เป็นกังวลที่ครอบครัวของตนและเกี่ยวข้อง ต้องเดือดร้อนไปด้วย

ตอนนี้ตนยังมีการพูดคุยกับทางพยาบาลสาวอยู่ คุยกันไปก่อน ยังไม่ถึงขั้นว่าจะต้องเป็นสามี ภรรยากันหรือไม่ แต่สิ่งสำคัญคือต้องเคลียร์เรื่องนี้ให้จบก่อน หากยังค้างคาอยู่คงไปต่อกันไม่ได้ ส่วนกรณีผู้ที่ออกมากล่าวหาตนในเรื่องนี้จะมีการฟ้องร้อง หรือใช้กระบวนการทางกฎหมายกับบุคคลนั้นหรือไม่นั้น ตอนนี้มีการพูดคุยปรึกษาทนายความอยู่ ดูว่าอะไรที่ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง ว่าไปตามข้อเท็จจริง แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่า จะดำเนินการฟ้องร้องอย่างไรหรือไม่ ว่าไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

“ขอยืนยันว่า ผมไม่ได้เป็นชู้ เพราะผมไม่ได้รับทราบเลย มันไม่ยุติธรรมกับผม ที่บอกว่าผมซาดิตซ์ ก็ไม่เคยทำมาก่อนตลอดอายุ 40 ปี เลยคิดว่า ไม่ยุติธรรม ทำให้ผมต้องทนอยู่กับกระแสเหล่านี้ แต่ไม่เป็นไร เพราะผมผิดพลาดเอง” ผอ.รพ.สต. ที่ถูกกล่าวหา กล่าว

นายกองตรี ธนกฤต กล่าวว่า จากการเชิญทุกฝ่ายมาพูดคุยกันนั้น ต้องชี้แจงว่า ในเรื่องที่บอกว่า เป็นชู้นั้น นั่นหมายความว่าต้องจดทะเบียนสมรส จะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีก็ว่ากันไป แต่หากไม่ใช่การสมรสก็ยังฟ้องไม่ได้ ถือเป็นเรื่องส่วนตัว แต่กรณีผอ.รพ.สต.ถูกตั้งกรรมการสอบในระดับจังหวัดอยู่แล้ว มีหน้าที่ทำให้ความจริงปรากฏ ซึ่งวันนี้ทั้งคู่เข้ามาให้ข้อมูลกับตนเอง จากการพูดคุย ตนมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องส่วนตัว โดยทางพยาบาลสาวให้ข้อมูลว่า ตนเองได้เลิกกับสามีไปแล้ว โดยขอเลิกหลายครั้ง เพราะสามีปัญหากันหลายเรื่อง ทั้งการติดเกม พอบอกเลิกชายคนดังกล่าวก็จะแสดงความโมโห ขับรถเร็วจนเกิดความกลัว

 

สำหรับเรื่องความสัมพันธ์กับผอ.รพ.สต.นั้น มีการทำความรู้จักกัน มีความสัมพันธ์กัน 4 ครั้ง โดย 2 ครั้งหลัง มีการใช้อุปกรณ์เพื่อสร้างบรรยากาศ ความตื่นเต้น เท่านั้น แล้วจบไป เมื่อดูตามร่างกายฝ่ายผู้หญิง เท่าที่ดูได้ก็ไม่ปรากฎร่องรอยการถูกทำร้ายแต่อย่างใดดังนั้น ดังนั้นทั้ง 2 แสดงความบริสุทธิ์ใจ นอกจากนี้ฝ่ายหญิงยังยืนยันว่า ที่ผ่านมา เป็นคนดูแลตัวเอง ดูแลของใช้และซักเสื้อผ้าเองมาตลอด กระทั่งช่วงหลังที่แสดงความชัดเจนว่า ไม่อยู่ร่วมกับฝ่ายชายแล้ว ถึงได้มาซักเสื้อผ้าให้ หรือทำอะไรอื่นๆ ให้ จึงเห็นว่ามีเทียบติดตามเสื้อผ้า แต่ก็ไม่ได้สนใจ เพราะไม่ได้จะเปิดเผย หรือไม่เปิดเผย

“เรื่องนี้ ที่ผมออกมาอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือจะไปมีผลต่อการตรวจสอบและตัดสินของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงระดับจังหวัด แค่ออกมาบอกว่า สิ่งที่เราได้รับเรื่องร้องเรียนมา มีการพูดคุยจึงออกมาบอกกับสังคม เพื่อให้เกิดการบาล๊านซ์ข้อมูลของอีกฝั่งด้วย สังคมจะเชื่อใครหรือไม่ก็เป็นเรื่องคนเสพข่าว ดังนั้นที่ผมมองว่า นี่เป็นเรื่องส่วนตัว แต่คณะกรรมการจะมองว่าเป็นหัวหรือก้อยก็อยู่ที่การพิจารณาของกรรมการ” นายกองตรี ธนกฤต กล่าว

อย่างไรก็ตาม  หากพบมีความผิดก็จะมีการลงโทษตามขั้นความผิดอยู่แล้ว ย้ำว่าเรื่องทางวินัยก็เป็นเรื่องวินัย ส่วนเรื่องคดีก็เป็นเรื่องที่แต่ละฝ่ายมีข้อมูล ถ้าฝ่ายชายบอกว่า เสียหายก็มีสิทธิดำเนินคดี เช่นเดียวกับฝ่ายผอ.ถ้ารู้สึกว่าถูกละเมิดสิทธิก็สามารถใช้สิทธิทางศาลได้เช่นเดียวกัน ต่างคนต่างมีข้อมูล