"ตรีชฎ"’ โต้ "ศุภชัย" ปมกัญชา ยัน "สมศักดิ์" รับฟังทุกฝ่าย  วิเคาระห์ผลดี-เสียรอบด้าน ซัดกลับเสียมารยาททางการเมือง ยืนยันปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลเศรษฐา ที่แถลงต่อรัฐสภาจะใช้กัญชาเพื่อการแพทย์และสุขภาพเป็นหลัก  
        
วันที่ 3 พ.ค. 2567 น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณาสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า ตามที่นายศุภชัย ใจสมุทร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูลออกมากล่าวหานายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในลักษณะฟังความข้างเดียวจากกลุ่มองค์กรต่อต้านกัญชาเพื่อจะนำกัญชามาอยู่ในกลุ่มยาเสพติด ไม่ฟังความเห็นข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุขนั้น  นายศุภชัยไม่ควรออกมาทำให้สังคมเข้าใจผิด เพราะความจริงนายสมศักดิ์รับฟังความเห็นของทุกฝ่ายทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน เพราะการที่สังคมจะเดินได้ต้องฟังเสียงรอบด้านของประชาชน เรื่องการนำกัญชาไปจำหน่ายและใช้เพื่อการเศรษฐกิจและสันทนาโดยไม่ถือเป็นยาเสพติดที่ดำเนินการกันมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วเรื่องนี้เป็นข้อขัดแย้งมาตลอดเนื่องจากมีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ในสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่แล้วก็เห็นไม่ตรงกันระหว่างฝ่ายรัฐบาลที่พรรคภูมิใจไทยเป็นเจ้าของเรื่องนี้ พยายามจะออกกฎหมายมารองรับ แต่สุดท้ายกฎหมายไม่ผ่านสภา 

การนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด
 

น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธาณสุขรับฟังความเห็นต่างๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทั่งเห็นว่า การนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดเหมือนเดิมมีน้ำหนักมากกว่า มีเสียงสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก ซึ่งจะต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน และกระบวนการ นอกเหนือไปจากมีข้อมูล ข้อเท็จจริงอย่างหนักแน่น เชื่อถือได้ มารองรับแล้ว การพิจารณาของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ที่มีหลายหน่วยงานเป็นองค์ประกอบ ที่สำคัญคือ รัฐมนตรีว่าการหลายกระทรวง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, มหาดไทย, ยุติธรรม. แรงงาน, ศึกษาธิการ, สาธารณสุข, อุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีปลัดกระทรวงต่างๆ เลขาธิการ ป.ป.ส. เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม อัยการสูงสุด ผู้นำ 3 เหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อธิบดีอีกหลายกรม เลขาธิการ อ.ย. เลขาธิการและรองเลขาธิการ ป.ป.ส. ผู้ทรงคุณวุฒิ และฝ่ายเลขานุการรวม 36 คน ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายดังกล่าวจะร่วมกันพิจารณาอย่างถี่ถ้วน รอบคอบทุกมิติ ทุกแง่ทุกมุม โดยคำนึงถึงประโยชน์และโทษกรณีการเปิดให้กัญชาถูกนำไปปลูก นำไปขายและเสพกันโดยไม่ถือว่า เป็นยาเสพอย่างไหนเกิดผลดีหรือผลเสียมากน้อยกว่ากัน  

ใช้ประโยชน์จากกัญชาเพื่อการแพทย์และสุขภาพเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมือง กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลที่ีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรียืนแถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 ยังเหมือนเดิมไมเปลี่ยน นั่นคือ การระบุว่า “…รัฐบาลจะดำเนินแนวทางนโยบายการใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ เพื่อสร้างมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจ” ถือเป็นข้อผูกพันและผูกมัดรัฐบาลให้ใช้ประโยชน์จากกัญชาเพื่อการแพทย์และสุขภาพเท่านั้น อันจะเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพราะกัญชามีประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยเมื่อนำมาใช้การทางแพทย์อย่างถูกวิธี ซึ่งจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่ได้หมายถึงการปล่อยให้ปลูกและซื้อขายกันโดยทั่วไปได้อย่างอิสระเสรีดังที่ทำกันมา ซึ่งจะเกิดผลกระทบในทางลบต่อสังคม องค์กรที่ไม่เห็นด้วยกับการปลดล็อคกัญชาออกจากลุ่มยาเสพติดก็ได้ออกมาให้ข้อมูลและต่อต้านมาอย่างต่อเนื่อง  

น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า นอกจากนี้ นายเศรษฐาเคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว บลูมเบิร์ก เทเลวิชั่นที่ออกอากาศหลายประเทศทั่วโลก เคยสัมภาษณ์นายเศรษฐาเมื่อวันที่ 21 กันายน 2566 ขณะไปเข้าร่วมประชุมสมัชชา สหประชาชาติที่ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาโดยนายเศรษฐาให้คำมั่นว่า จะจำกัดการใช้กัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์เท่านั้น และยังกล่าวด้วยว่า ภายในกรอบ 6 เดือน รัฐบาลจจะพยายามแก้ไขนโยบายกัญชาและการแพร่ขยายของร้านที่ขายกัญชาเสรี กฏหมายจะถูกเขียนขึ้นใหม่  

"จากนโยบายรัฐบาลและจุดยืนที่ท่านนายกฯเศรษฐาได้ประกาศไว้ทั้่งต่อรัฐสภา ประชาชนคนไทยและชาวโลกที่ได้รับรู้เรื่องนี้ ถือเป็นสัญญาประชาชนที่พรรคร่วมรัฐบาลจะต้องเคารพ การดำเนินการของรัฐมนตรีสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่จะดึงกัญชาไปอยู่ประเภทยาเสพติดและ จัดระเบียบการกำกับดูแล ควบคุมกัญชาให้อยู่ในกรอบที่จะใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และสุชภาพ ไม่ใช่เพื่อสันทนาการ และไม่ใช่เพื่อเศรษฐกิจ การค้าการขายที่เกิดกันอยู่โดยทั่วไป จึงไม่ได้คิดขึ้นเอง และไม่ได้ทำไปตามใจชอบ หากนายสมศักดิ์ไม่ทำเช่นนี้ก็เท่ากับ บริหารราชการกระทรวงสาธารณสุขกรณีกัญชาขัดกับนโยบายรัฐบาล ซึ่งจะเกิดความเสียหายต่อรัฐบาลโดยภาพรวมที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน  ข้อกล่าวหาของนายศุภชัย ไม่เพียงแต่จะผิดมารยาททางการเมือง ยังเป็นการสร้างเรื่อง สร้างประเด็นให้เกิดความสับสนในวังคม และจะนำมาซึ่งข้อขัดแย้งในหมู่ประชาชนโดยไม่จำเป็น" นางสาวตรีชฎา กล่าว