สสจ.อุดรธานี เตือน “น้องหญิง-พี่โดม-แดนธรรมสุขาววะดี” อ้างรักษาโรคด้วยคลื่นพลังบุญ ไม่ได้รับอนุญาตสถานพยาบาลตามกฎหมาย ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  ผู้ช่วย รมต.สธ.ชี้กลุ่มอ้างอิทธิฤทธิ์ “รักษาโรค” ความผิดสำเร็จ “สมศักดิ์” สั่งจัดการเชิงรุก ต้องหยุด ไม่หยุด จับแน่

 

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี โดยนายสันติ ศรีนิล ทันตแพทย์ (ด้านทันตสาธารณสุข) ระดับเชี่ยวชาญ ปฏิบัติราชการแทนนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี ได้ออกหนังสือด่วนที่สุด ถึงเจ้าของสถานที่ “แดนธรรมสุขาววะดี“ เรื่องแจ้งให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ลงนามเมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา

 

ข้อความในหนังสือระบุว่า ตามที่มีข่าวปรากฎในสื่อมวลชน เกี่ยวกับการรักษาโรคทางเลือก ณ แดนธรรมสุขาววะดี โดย ”น้องหญิง อาจารย์และพี่โดม“ เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ รักษาโรคด้วยคลื่นพลังบุญให้แก่ประชาชนทั่วไป สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี ได้ตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า สถานที่ และผู้ที่ทำการรักษาดังกล่าวยังไม่มีการขึ้นทะเบียนเกี่ยวกับการรักษาโรคใดๆ ทั้งนี้ กรณีมีการประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง ห้ามมิให้บุคคลใดประกอบกิจการสถานพยาบาล เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาต หากฝ่าฝืนเข้าข่ายกระทำผิดตามมาตรา 57 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

อีกทั้งกรณีมีการประกอบโรคศิลปะโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนและรับอนุญาตพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.2542 มาตรา 30 ห้ามมิให้ผู้ใดทำการประกอบโรคศิลปะ หรือกระทำด้วยประการใดๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีสิทธิทำการประกอบโรคศิลปะโดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต หากฝ่าฝืนเข้าข่ายกระทำผิดตามมาตรา 57 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

ในการนี้เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และให้เป็นไปตามกฎหมาย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี จึงขอให้ท่านหยุดกิจกรรมเกี่ยวกับการรักษาโรคให้แก่ประชาชนทั่วไปนับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้หากท่านไม่ดำเนินการตาม จะพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

 

ผู้ช่วย รมต.สธ.ชี้กลุ่มอ้างอิทธิฤทธิ์ “รักษาโรค” ความผิดสำเร็จ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายกองตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข  ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมาถึงกรณีมีผู้อ้างตนว่าเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ใช้ศาสตร์ หรือวิชา หรือพลังงานบางอย่างในการรักษาผู้ป่วย  ทำให้มีผู้เชื่อและเข้ารับการรักษาจำนวนมาก ว่า  ถ้าเมื่อไหร่ที่มีการใช้คำว่า “รักษา” ก็จะมีความเกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.2542 ดังนั้น ผู้ที่ใช้อิทธิฤทธิ์ ใช้ญาณต่างๆ ทั้งหลาย ต้องหยุด ถ้าไม่หยุด จับ อย่างไรก็ตาม วันนี้มีคนแจ้งข้อมูลถึงผู้ที่อ้างตัวว่ารักษาผู้ป่วยได้เข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ดำเนินการเรื่องนี้อยู่ตลอด แต่วันนี้ต้องทำให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นเท่านั้นเอง ตามนโยบายของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้ทำงานเชิงรุก ซึ่งตนก็จะทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง เป็นไปตามกฎหมาย พิสูจน์ได้ ไม่ใช่การอุปโลกน์    

 

เมื่อถามว่า กรณีมีผู้ที่อ้างตัวว่า มีอิทธิฤทธิ์มีอภินิหาร ไปออกรายการทีวี จะมีการตรวจสอบดำเนินการอย่างไรต่อหรือไม่

นายกองตรีธนกฤต กล่าวต่อว่า ตรงส่วนนั้นถือว่า ความผิดสำเร็จแล้ว เราเข้าไปดำเนินการอยู่แล้ว แต่ตามมาตรการก็ต้องเตือนให้หยุดก่อน และต้องเข้าไปดูว่ามีผู้เสียหายหรือไม่ ซึ่งต้องเตือนไว้ว่า การที่ออกมาระบุว่า ใช้วิธีใดๆ สามารถรักษาต่างๆ ได้นั้น บางครั้งยังไม่มีการพิสูจน์ทราบ ซึ่งต้องไปขอขึ้นทะเบียนในการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ทางเลือก หมอพื้นบ้าน หรือแพทย์แผนไทย ก่อนซึ่งหากเป็นพื้นที่ต่างจังหวัดก็สามารถไปประสานขอรับการตรวจพิสูจน์ และขึ้นทะเบียนกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ส่วนพื้นที่กรุงเทพมหานคร ก็มาที่ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข 

 

“ถ้าเมื่อไหร่ที่ทำการรักษา ถึงจะบอกว่าไม่ได้เก็บเงิน ไม่ได้สัมผัสตัว ไม่ได้ให้ยา แต่คุณยืนยันว่าได้ทำการรักษาแล้ว ก็เข้าองค์ประกอบของ พ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะแล้ว นอกจากนั้นยังมีสถานที่ด้วย ก็จะเข้ากับ พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ซึ่งทั้งสองจะต้องได้รับอนุญาตก่อน ซึ่งกรณีที่ไปออกรายการ ซึ่งผมก็ไปออกรายการด้วยนั้น ก็ยืนยันว่า ผิด มีโทษจำคุก 5 ปี และยังไม่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะอีกซึ่งมีโทษรวมๆ กันแล้ว 7-8 ปี ดังนั้น หากคิดว่าตัวเองรักษาโรคได้จริงก็ให้ไปขึ้นทะเบียน อย่างหมอพื้นบ้านที่ขึ้นทะเบียนยังต้องเก็บสถิติการรักษาอย่างน้อย 10 ปี ที่มาที่ไปของศาสตร์การรักษา แต่นี่คุณไม่มีที่มาที่ไป คุณคิดเอง คุณอุปโลกน์ขึ้นมา คุณมีความเชื่อแบบนี้ไม่ได้ เพราะส่งผลต่อผู้ป่วยในการรักษาโรคด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน และยังมีโอกาสหายจากโรคได้ แต่กลับถูกตัดกระบวนการนี้ไป โดยที่คุณก็ไม่ได้มีความรู้ทางการแพทย์ แล้วถ้าหากผู้ป่วยเสียชีวิตใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ” นายกองตรีธนกฤต กล่าว