องค์กรพุทธ-สาธารณสุข ร่วมปวารณาสานพลังการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ  ด้าน  “ชลน่าน” ชูความร่วมมือดูแลสุขภาพพระสงฆ์ อบรมพระเป็น Care Giver ดูแลสุขภาพ หลังพบพระสงฆ์ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ทั้งเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ โรคอ้วน ยังมีกลุ่มติดเตียง พร้อมผลักดันสถานชีวาภิบาลในวัด ผลักดันฐานข้อมูลสุขภาพพระสงฆ์ทั่วประเทศ ด้านสปสช.ชูหลักเกณฑ์ให้วัดขึ้นทะเบียนฯ

 

เมื่อวันที่ 4 มกราคม ที่พระอุโบสถ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของ มส. เป็นองค์ประธานในพิธีปวารณาสานพลังการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ พ.ศ. 2566 “ธรรมมรรคาสู่ระบบสุขภาพที่สมดุล” โดยมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำการปวารณาฯ ร่วมกับ 14 องค์กร

“ชลน่าน” ชูความร่วมมือดูแลสุขภาพพระสงฆ์ อบรมพระเป็น Care Giver

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า วันนี้ภาคีเครือข่ายประกอบด้วย สธ. พศ. ฯลฯ ได้ทำการปวารณาคือการประกาศยินยอมเข้ามารับใช้สานพลังขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ พ.ศ. 2566 ซึ่งเป็นฉบับที่ 2 ที่ปรับปรุงแล้ว โดยการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ แบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ คือ 1. ทำให้พระสงฆ์ดูแลสุขภาพตนเองได้  2.ทำให้ประชาชน ชุมชน ฆราวาส สามารถดูแลพระสงฆ์ตามพระธรรมวินัย และ 3.กลไกโดยรวมทั้งหมดที่จะเอื้อต่อการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ วันนี้จึงประกาศแนวทางทั้งหมด

"พระสงฆ์ดูแลสุขภาพตนเอง เช่น จัดอบรมหรือสร้างพระคิลานุปัฏฐากดูแลพระสงฆ์ที่อาพาธ และแนวทางที่เราใช้ดูแลให้เข้มข้นมากขึ้น คือ ดูแลพระสงฆ์อาพาธติดเตียง ระยะสุดท้าย ใช้สถานชีวาภิบาลที่ตั้งขึ้นในวัดได้ ก็จะอบรมพระคิลานุปัฏฐากให้เป็นพระนักบริบาลหรือ Care Giver ซึ่งหากได้ถึง 420 ชั่วโมงก็จะมีความจำเพาะ เป็นต้น นอกจากนั้นเป็นการสร้างมิติการส่งเสริมป้องกันโรค วัดส่งเสริมสุขภาพ โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง พระสามารถให้ความรู้ประชาชน เพราะมีความเคารพศรัทธา ก้จะสร้างมิติสุขภาพได้ดี" นพ.ชลน่านกล่าว

ปี67 ผลักดันฐานข้อมูลสุขภาพพระสงฆ์ ยกระดับบริการสาธารณสุข

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ที่ผ่านมามีพระสงฆ์และสามเณร ได้รับการตรวจสอบสิทธิเพื่อเข้ารับบริการสาธารณสุข 164,004 รูป ตรวจคัดกรองสุขภาพ 81,542 รูป เชื่อมโยงวัดกับหน่วยบริการ 9,622 แห่ง มีพระคิลานุปัฏฐากผ่านการอบรม 13,200 รูป มีวัดส่งเสริมสุขภาพผ่านเกณฑ์ประเมิน 18,174 แห่ง และมีวัดร่วมพัฒนาชุมชนคุณธรรม 4,911 แห่ง การขับเคลื่อนในปี 2567 จะผลักดันงานฐานข้อมูลสุขภาพพระสงฆ์ เพื่อยกระดับการเข้าถึงสิทธิการดูแลสุขภาพและเข้ารับบริการด้านสาธารณสุข ขับเคลื่อนงานกุฏิชีวาภิบาลและสถานชีวาภิบาลถวายการดูแลพระสงฆ์อาพาธและระยะท้าย จัดทำมาตรฐานการจัดบริการของสถานชีวาภิบาลสำหรับองค์กรพระพุทธศาสนา รวมถึงขึ้นทะเบียนวัดที่จัดบริการดูแลพระสงฆ์อาพาธ/ผู้ป่วย เป็นหน่วยบริการรับส่งต่อที่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้ 

พระสงฆ์ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ทั้งเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ โรคอ้วน

นพ.ชลน่านกล่าวว่า โรคไม่ติดต่อเรื้อรังยังเป็นการอาพาธในพระสงฆ์มากที่สุด ทั้งเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ โรคอ้วน ซึ่งมาจากพฤติกรรมความเป็นอยู่ ต้องยอมรับว่า การปฏิบัติมีข้อจำกัดในการออกกำลังกายหรือกิจกรรมทางกาย หรือพฤติกรรมของฆราวาสที่นำอาหารหวานมันเค็มมาถวาย ซึ่งถวายอย่างไรก็ต้องฉันเช่นนั้น จึงต้องมาให้แนวทางร่วมกันทำอย่างไรดูแลสุขภาพพระสงฆ์ ถวายอาหารให้เหมาะสมอย่างไร ลดหวานมันเค็มอย่างไร สำหรับการดูแลพระสงฆ์เราตั้งเป้าหมายมีกุฏิชีวาภิบาลคือ 1 อำเภอ 1 วัด ที่มีอยู่ก็ดำเนินการอยู่ แต่จะเปิดอย่างเป็นทางการปลายเดือน ก.พ.นี้ ที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี และขับเคลื่อนสถานชีวาภิบาลหรือกุฏิชีวาภิบาลกระจายทุกอำเภอ ซึ่งต้องเตรียมความพร้อมอาคารสถานที่ บุคลากร ที่จะดูแล ทั้งพระสงฆ์หรือบุคลากรทางการแพทย์ วัสดุอุปกรณ์เครื่องมือ ระบบสื่อสาร เทเลเมดิซีน เทเลฟาร์มาซี

ด้าน นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด กล่าวว่า  การจัดกิจกรรมครั้งนี้เป็นการร่วมกันทำความดีเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ หรือ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 หน่วยงานภาคีเครือข่ายจึงขอปวารณาสานพลังการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ และจะขับเคลื่อนงานอื่น ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติสืบไป

เปิดที่มาการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์

นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ฝ่ายคฤหัสถ์ กล่าวที่มาการขับเคลื่อนสุขภาวะพระสงฆ์ว่า โดยช่วงปี 2555 เป็นปีที่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติได้มีฉันทมติในการพัฒนาประเด็นนโยบายสาธารณะเรื่องพระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ ซึ่งขณะนั้นพระสงฆ์มีความเสี่ยงอาพาธจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังจากของขบฉันและภัตตาหาร รวมถึงปัญหาการเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาล และฐานข้อมูลพระสงฆ์ที่ยังไม่มีการเชื่อมโยงสิทธิประโยชน์ มติดังกล่าวทำให้เกิดการสร้างความร่วมมือระหว่างวัดและชุมชนในระดับพื้นที่มากมาย 

ต่อมาในปี 2560 ได้มีการพัฒนาธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติขึ้นมา โดยมีกรอบแนวทางการดำเนินงาน 3 ด้าน คือ 1.พระสงฆ์กับการดูแลสุขภาพตนเองตามหลักพระธรรมวินัย 2.ชุมชนและสังคมกับการดูแลอุปัฏฐากพระสงฆ์ที่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย และ 3.บทบาทพระสงฆ์ในการเป็นผู้นำด้านสุขภาวะของชุมชนและสังคม จากนั้นมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติขึ้น โดยมีผู้แทนคณะสงฆ์ ผู้แทนหน่วยงานและเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนร่วมเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ โดยมีเป้าหมายให้พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเป็นสุข ผ่านโครงการ/กิจกรรมของแต่ละหน่วยงาน  

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ เกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 พ.ศ.2555 ในประเด็นพระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ โดยเป็นหนึ่งในเครื่องมือตามพรบ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ที่มุ่งให้พระสงฆ์มีสุขภาพที่ดี รวมถึงการส่งเสริมให้พระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้นำของชุมชนและสังคมไทยได้เมตตาปฏิบัติศาสนกิจและบทบาทการเป็นผู้นำด้านสุขภาวะให้กับสังคมไทย การร่วมปวารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วน จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงการสานพลังอย่างแท้จริงในการร่วมมือที่ไม่ใช่เพียงภาครัฐอย่างเดียว แต่ทุกภาคส่วนก็มีส่วนสำคัญในการสร้างระบบสุขภาพได้อย่างสมดุล โดยมีคณะสงฆ์ และวัดเป็นศูนย์กลาง

เปิดหลักเกณฑ์สปสช.ให้วัดขึ้นทะเบียนสถานชีวาภิบาล

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า  ล่าสุด สปสช. ได้มีการกําหนดหลักเกณฑ์ให้หน่วยงานหรือองค์กรที่ให้บริการดูแลผู้ป่วยติดเตียง บริการดูแลแบบประคับประคองและระยะท้ายเป็นสถานบริการสาธารณสุข ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ซึ่งจะทำให้วัด สามารถขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการด้านชีวาภิบาล เพื่อให้การดูแลภิกษุหรือญาติโยมที่ป่วยระยะสุดท้ายได้ อันจะเป็นการส่งเสริมบทบาทของพระสงฆ์การเป็นผู้นำด้านสุขภาวะในชุมชนตั้งแต่เกิดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ สำหรับ 14 องค์กร ประกอบด้วย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สถาบันบรมราชชนก กรมอนามัย กรมการแพทย์ กรมการศาสนา แพทยสภา สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และเครือข่ายพระสงฆ์สาธารณสงเคราะห์

 

อ่านข่าวเกี่ยวข้อง : ทำความรู้จัก “สถานชีวาภิบาล” หนึ่งในนโยบายสำคัญช่วยดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิต...