ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

“สันติ” รมช.สธ. ส่งเสริมยกระดับมาตรฐานสุขาปลอดภัยทั่วประเทศ เร่งพัฒนาในพื้นที่ห่างไกล-เรือนแพ  มีส้วมใช้ทั่วถึง สอดรับนโยบายยูเอ็น วันส้วมโลก ปี 66
 
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานรณรงค์วันส้วมโลก ประจำปี 2566 (World Toilet Day 2023) และปาฐกถา หัวข้อ "เร่งรัดพัฒนาส้วมไทย ปลอดโรค ปลอดภัย ใส่ใจดูแล" พร้อมสาธิตการล้างมือ 7 ขั้นตอนอย่างถูกวิธีอย่างถูกต้อง เพื่อสุขอนามัยที่ดีและป้องกันการระบาดของเชื้อโรค โดยมีแพทย์หญิงอัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย พร้อมผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

  นายสันติ กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้คนกว่า 3,500 ล้านคนทั่วโลก ยังไม่มีเข้าถึงการสุขาภิบาลที่ได้รับการจัดการอย่างปลอดภัย องค์การสหประชาชาติจึงได้กำหนดให้วันที่ 19 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันส้วมโลก โดยจัดงานรณรงค์วันส้วมโลกเป็นงานประจำปีของประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติมาตั้งแต่ปี 2556 เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการดำเนินงาน ในการรับมือกับวิกฤติด้านสุขาภิบาลทั่วโลกและบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs (เอสดีจี) เป้าหมายที่ 6 การสร้างหลักประกันเรื่องน้ำและการสุขาภิบาล ให้มีการจัดการอย่างยั่งยืนและมีสภาพพร้อมใช้สำหรับทุกคน บรรลุป้าหมายย่อยที่ 6.2 การให้ทุกคนเข้าถึงการสุขาภิบาลและสุขอนามัย ที่พอเพียง เป็นธรรม และยุติการขับถ่ายในที่โล่ง ภายในปี 2573 โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษต่อความต้องการของผู้หญิง เด็กหญิง และกลุ่มเปราะบาง

  “วันส้วมโลกปี 2566 ได้กำหนดหัวข้อการรณรงค์ คือ “Accelerating change” หรือการเร่งรัดการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากทั่วโลกประสบวิกฤตด้านสุขาภิบาล การแก้ไขปัญหาดังกล่าวยังล่าช้า และไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเคร่งครัด จึงเร่งรัดเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาด้านสุขาภิบาลให้เพียงพอปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ การดำเนินงานจะประสบผลสำเร็จได้ต้องอาศัยจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน หน่วยงานต่าง ๆ และภาคประชาชน” นายสันติ กล่าว

  ทั้งนี้ ปีนี้ประเทศไทยได้กำหนดแนวทางการดำเนินการ คือ “เร่งรัด พัฒนาส้วมไทย ปลอดโรค ปลอดภัย ใส่ใจดูแล” โดยส่งเสริมการมีและใช้ส้วมของครัวเรือนมากว่า 60 ปี พบว่า ปัจจุบันครัวเรือนไทยมีส้วมใช้ร้อยละ 99.8 และยังไม่มีส้วมอีกร้อยละ 0.2 หรือประมาณ 44,000 ครัวเรือน ซึ่งเป็นครัวเรือนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล พื้นที่ยากลำบาก หรือพื้นที่ริมน้ำ จึงต้อง “เร่งรัดพัฒนาส้วมไทย” ให้เหมาะสมเพื่อให้เข้าถึงการมีและใช้ส้วมอย่างเท่าเทียม นอกจากนี้คนในยุคปัจจุบันมีการใช้ชีวิตนอกบ้าน เดินทางไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ มากขึ้น จึงต้องมีการพัฒนาส้วมสาธารณะให้เหมาะสม ถูกสุขลักษณะ สามารถรองรับการใช้บริการตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างครอบคลุม ส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ
 
“การพัฒนาสุขาหรือส้วมไทยในหลาย10 ปี พบว่าพัฒนาได้มาตรฐาน ยังขาดในพื้นที่ห่างไกล ชนบทเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)  เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ได้ตระหนักถึงความสำคัญเรื่องส้วมเป็นจำนวนมาก เห็นได้จากเวลามีการจัดงานต่างๆ จะมีการนำรถสุขาเคลื่อนที่มาให้บริการกับประชาชน นั่นหมายความว่า ประเทศไทยเอาใจใส่เรื่องสุขาเพื่อป้องกันการระบาดของโรคทำให้ประชาชนมีสุขอนามัยที่ดี” นายสันติ กล่าว

  ส่วนในพื้นที่ห่างไกล หรือบ้านเรือนตั้งอยู่ริมน้ำ ตลาดริมน้ำ และเรือแพที่อยู่ในแม่น้ำลำคลอง แม้จะมีส้วมแต่ส่วนใหญ่ปล่อยสิ่งปฏิกูลทิ้งลงในแหล่งน้ำ ทำให้เกิดการกระจายของเชื้อโรค ถ้ามีการดูแลรณรงค์ให้สามารถต่อท่อมาบนแผ่นดินเพื่อเข้าระบบกำจัดที่ถูกวิธีก็จะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนและลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้

เรื่องที่เกี่ยวข้อง