สร้างแรงกระเพื่อมอย่างมาก เมื่อจีนประกาศเปิดประเทศในรอบ 3 ปี ไม่มีการกักตัวสำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศที่มีผลตรวจเป็นลบอีกต่อไป นับตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.2566 เพราะไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางหลักของชาวจีน ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างหนักในแดนมังกร

แม้ยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลจีนจะไฟเขียวให้ประชาชนออกท่องเที่ยวต่างแดนได้เมื่อไหร่ แต่มีรายงานจาก Ctrip ​​แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวของจีนว่า ภายหลังการประกาศเปิดประเทศเพียงแค่ครึ่งชม. ก็มีการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า  โดยจุดหมายปลายทางยอดนิยมได้แก่ มาเก๊า ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไทย และเกาหลีใต้ ส่วนเว็บไซต์ Trip.com เปิดเผยว่ามีการจองเที่ยวบินขาออกเพิ่มขึ้น 254% ในช่วงเช้าวันถัดมาเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคลื่นนักท่องเที่ยวชาวจีนเตรียมบุกไทยในเร็วๆ นี้

ขณะที่สถานการณ์คนไข้ล้มเตียงในโรงพยายาบาลทั่วประเทศจีน และแพทย์เปิดเผยว่ามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 6 เท่าก็อาจนำมาสู่การแพร่ระบาดในวงกว้าง และมีเชื้อกลายพันธุ์เกิดขึ้นอีกหรือไม่ หลังมาตรการและข้อจำกัดการเดินทางทั้งหลายถูกยกเลิกไปหมดแล้ว

 

** ลุ้นนักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศปลายไตรมาศ 2

ธเนศ ตันติพิริยะกิจ นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่าคนจีนมีพาสปอร์ตอยู่ประมาณ 130 กว่าล้านเล่ม ซึ่งคิดเป็น 8-9% และมีแผนขยับเป็น 12% ในปี 2022 หากไม่มีโควิด แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักและไม่อนุญาตให้มีการต่อพาสปอร์ตในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะมีการหมดอายุไปบ้าง ด้วยปัจจัยด้านเอกสาร และความพร้อมอื่นๆ ในด้านการท่องเที่ยวน่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะ

“สำคัญที่สุดคือสายการบิน ที่ผ่านมาทุกคนรู้ว่าสายการบินมีปัญหาทุกภูมิภาคของโลก และเท่าที่ทราบทางรัฐบาลจีนมีคำสั่งให้ขยับเรื่องสายการบินให้กลับมาใกล้เคียงปกติทั้งเที่ยวบินภายในประเภทและนานาชาติภายในสิ้นมี.ค. เพราะฉะนั้นผมประเมินว่าอย่างเร็วเขาน่าจะปล่อยคนมาเที่ยวช่วงไตรมาส 2 ปลายๆ” ธเนศ กล่าว

เช่นเดียวกับเรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศของจีน นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภูเก็ตมองว่า น่าจะมีการจัดการตามแนวทาง 'hammer and dance' เหมือนกับหลายประเทศทั่วโลกที่สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ คือ พอตัวเลขขึ้นก็ต้องทุบ เมื่อเริ่มสงบก็ปล่อยใหม่

ทั้งนี้มีรายงานว่าหลังประกาศเปิดเทศ รัฐบาลจีนได้ประกาศอนุญาตให้คนทำพาสปอร์ตและวิซ่าเพื่อการท่องเที่ยวเรียบร้อยแล้ว โดยภูเก็ตถือเป็นจังหวัดที่ 2 รองจากกรุงเทพที่มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามามากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาแค่นักท่องเที่ยวรัสเซียแห่เข้ามาก็เกิดวิกฤตธุรกิจท่องเที่ยวขาดแคลนแรงงาน ถ้าจีนเข้ามา 1 ใน 3 ก็มากกว่ารัสเซียเกือบ 100%

“แต่ถ้าจีนมาในช่วงนั้นจริงๆ จะเป็นโชคดีของภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในบ้านเราเพราะจะเข้าโลซีซั่นพอดี เท่ากับว่ายุโรปกลับไปแล้ว จีนอาจมาพอดี”

 

** กดปุ่มส่งสัญญาณเตรียมพร้อม

แม้การประกาศครั้งนี้จะไม่ได้ปล่อยนักท่องเที่ยวเดินทางออกมาทันที แต่ธเนศ มองว่าข้อดีคือการส่งสัญญาณให้ผู้ประกอบการได้เตรียมตัวใน 2-3 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการมีเวลาเตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องสถานที่และบุคลากรเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวให้ทันท่วงที หลังจากที่เห็นปัญหาตอนนักท่องเที่ยวยุโรปซึ่งตอนนี้กำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานในหลายๆ ที่ และการเดินหน้าทำตลาดล่วงหน้าโดยเร็ว

“จังหวัดภูเก็ตโดยอบจ. สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวและภาคส่วนเอกชน เราคงไม่รอจนถึงปลาย Q2 เมื่อเขาเปิดและอนุญาตให้เราเข้าโดยที่ไม่ต้องเสี่ยงเรื่องกักตัว เราก็พร้อมจะไปทันที เหมือนปีที่แล้วที่ภูเก็ตเป็นจังหวัดแรกที่ไปทำตลาดที่ออสเตรเลียเราจะคุยกับททท.สำนักงานจีน ทั้ง 5 แห่ง (ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว คุนหมิง เฉินตู) รวมทั้งสำนักงานในประเทศด้วยว่า ทิศทางเทรนด์การท่องเที่ยวของชาวจีนหลังโควิดเป็นอย่างไร”

นอกจากนี้ เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วต้องมีกระบวนการดูแลให้เป็นนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ไม่อยากให้กลับมาเน้นปริมาณเหมือนเดิม โดยเชื่อว่าการปล่อยนักท่องเที่ยวออกมา 30-40% และค่อยๆ ไต่ไประดับ 50-60% ซึ่งนักท่องเที่ยวชุดแรกจะเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพมีกำลังซื้อ ผู้ประกอบการเองอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนโปรดักต์ของตัวเอง ต้องถือโอกาสนี้ปรับตลาดของตัวเอง และเชื่อว่าตลาดจีนเองจะมีความคล้ายกับทุกตลาด คือจะมีคนแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่มาเที่ยวจริงๆ กับอีกกลุ่มย้ายตัวเองไปที่อื่นๆ บ้าง

“อย่างตอนนี้ในภูเก็ตเอง จะมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องและได้ประโยชน์จากกลุ่มที่มาอยู่เต็มวีซ่าแทนที่จะอยู่แค่ 5-7 วัน เลยมีความคิดอยากจะร้องขอรัฐบาลว่า จะมีความเป็นไปได้ในการขยายวีซ่ายาวขึ้นกว่าเดิมหรือกระบวนต่อวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวเพื่อจะเป็นลองสเตย์ให้เขาอยู่ได้นานขึ้นได้หรือไม่ โดยแยกจาก  LTR Visa หรือวีซ่าระยะยาวสำหรับชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง”

 

** มั่นใจประสบการณ์รับมือการแพร่ระบาด

แม้การประกาศเปิดประเทศของจีนครั้งนี้เกิดขึ้นขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่รัฐบาลจะยกเลิกการรายงานข้อมูลโควิด-19 รายวันเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. แต่มีรายงานอ้างอิงเอกสารภายในหน่วยงานสาธารณสุขระบุว่าในช่วง 20 วันแรกของเดือนธ.ค.มีผู้ติดเชื้อเกือบ 250 ล้านคน คิดเป็น 18% ของประเทศ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ธเนศ กล่าวว่า ประเทศไทยผ่านวิกฤตโควิดมาหลายเวฟแล้ว ปริมาณคนได้รับวัคซีนบวกกับคนที่ติดเชื้อแล้ว ถือว่ามีภูมิคุ้มหมู่อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย มีมาตรฐานระดับต้นๆ ของโลก ขณะเดียวกันทุกวันนี้คนไทยที่เดินทางกันอยู่ ก็มีทั้งที่มีอาการและไม่อาการ ซึ่งหลายคนไม่มีการตรวจกันแล้ว หากมีคนจีนที่ติดเชื้อเข้ามาบ้างน่าจะรับมือได้ไม่น่ากังวล เพราะภูเก็ตเองก็ผ่านวิกฤตมาหมดแล้ว

เช่นเดียวกับ นพ.กู้ศักดิ์ กู้เกียรติกูล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ตที่กล่าวว่า หากเป็นเชื้อเดิมๆ ไม่กลายพันธ์ถือว่าไม่น่ากังวล ก็เหมือนกับตอนเปิดชาวยุโรปก่อนหน้านี้ มีประสบการณ์พอสมควรแล้ว เบื้องต้นต้องรณรงค์การป้องกันตัวเองก่อน การฉีดวัคซีนในกลุ่มคนไทย ส่วนมาตรการการเข้ามาระดับประเทศต้องรอดูทางกรมควบคุมโรค และอาจต้องเฝ้าระวังเรื่องการกลายพันธุ์และรุนแรงกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุการณ์จำเป็นก็อาจมีการทำวัคซีนพาสปอร์ตเฉพาะกลุ่ม หรือเตรียมความพร้อมในการขอความร่วมมือกับภาคเอกชน ในการเตรียม Hotel Room Isolation หากมีความจำเป็นจริงๆ ซึ่งมีประสบการณ์มาแล้วไม่น่ามีปัญหาแต่อย่างใด

 

**ญี่ปุ่นคุมเข้มนักท่องเที่ยวจีนตรวจโควิด

ญี่ปุ่นประกาศยกระดับมาตรการคุมเข้มนักท่องเที่ยวจีนหรือผู้มีประวัติเดินทางมาจากจีนภายใน 7 วัน ต้องตรวจเชื้อโควิด-19 เมื่อเดินทางถึงญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.นี้ หลังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายยอดฮิตของชาวจีน โดยผู้ที่พบผลตรวจเป็นบวกจะต้องถูกกักตัว 7 วันในสถานที่ที่กำหนดและจะนำตัวอย่างไปวิเคราะห์จีโนม ส่วนผู้ที่ไม่แสดงอาการแต่เดินทางจากจีนต้องกักตัวเป็นเวลา 5 วัน  และมีแผนที่จะจำกัดจำนวนเที่ยวบินที่จะไปจีนด้วย

ฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น กล่าวว่ามีความกังวลเพิ่มขึ้นในประเทศ จึงตัดสินใจออกมาตรการพิเศษเป็นการชั่วคราวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ เนื่องจากการขาดข้อมูลและขาดความโปร่งใสบางส่วนของจีนทำให้กำหนดมาตรการความปลอดภัยได้ยากเพราะข้อมูลจากส่วนกลางไม่สอดคล้องกับข้อมูลจากท้องถิ่นและข้อมูลของรัฐขัดแย้งกับข้อมูลองค์กรเอกชน

 

** ททท.ตั้งเป้าจีนมาไทย 5 ล้านคนปี 2566

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ขยับตัวเลขเป้าหมายการผลักดันนักท่องเที่ยวเข้าประเทศในปี 2566 จากเดิม 20 ล้านคนเป็น 25 ล้านคน พร้อมเพิ่มโอกาสในการทำรายได้มากกว่า 2.38 ล้านล้านบาทที่วางไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากจีนประกาศอนุญาตให้คนทำพาสปอร์ตและขอวีซ่าเพื่อการท่องเที่ยวได้ เมื่อเทียบกับข้อมูลปี 2562 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเยือนประเทศไทยมากกว่า 30% หรือประมาณ 11 ล้านคน และในปี 2565 เดินทางเข้ามาที่ 2.7 แสนคน