กรมควบคุมโรค เผยสัดส่วนครองเตียงผู้ป่วยหนักเริ่มตึงตัว! เนื่องจากผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น พบส่วนใหญ่ใน 4 จังหวัด เตรียมพร้อมระบบบริการ ด้านสธ.เผยขยายเตียงได้ ส่วน กทม. ต้องหารือร่วมกันจัดระบบ
เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวว่า ขณะนี้ ในกทม. นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี สัดส่วนการครองเตียงผู้ป่วยหนักเริ่มตึงตัว เนื่องจากมีคนไข้เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะทางรพ.ที่เคยกันไว้สำหรับโควิดก็เอาไปใช้สำหรับดูแลผู้ป่วยทั่วไป อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ในการเพิ่มผู้ป่วยมากขึ้นก็จะขยับขยายเตียงเพิ่มได้
นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า การเข้าถึงการรักษาของกลุ่มเสี่ยงเป็นประเด็นสำคัญที่จะช่วยลดการเสียชีวิตได้มากที่สุดในระยะต่อไป ซึ่งขณะนี้กราฟผู้ป่วยอาการหนักที่เข้ารพ.ยังอยู่ในเส้นสีเขียว สำหรับผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจแนวโน้มยังสูงอยู่แต่เชื่อว่าสถานการณ์จะคลี่คลายและเบาลง สำหรับผู้เสียชีวิตก็ไต่ระดับยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป ดังนั้นมามาตรการที่จะดำเนินการต่อไปนั้นความร่วมมือของประชาชนสำคัญมากจึงขอความร่วมมือทำ 2U คือ Universal prevention สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ และ Universal Vaccinations คือฉีดวัคซีน ซึ่งขณะนี้เปิดทุกที่ไม่เว้นวันหยุด รวมถึง เทศบาล ตำบลได้จัดชุดฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุตามบ้านด้วย
(ข่าวเกี่ยวข้อง : เปิดข้อมูลกลุ่มเสี่ยง 608 เสียชีวิต พบฉีดวัคซีนเข็ม 3 ทิ้งช่วงนานหลายเดือน แนะบูสเตอร์ด่วน!)
นพ.โอภาส กล่าวว่า สายพันธุ์โอมิครอน BA.4 และ BA.5 อาการเด่นคือเจ็บคอ ระคายคอ มีน้ำมูก ปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามตัว อาการเหมือนไข้หวัดเพราะฉะนั้นคนหนุ่มคนสาวแข็งแรง ฉีดวัคซีนมาแล้วอาการก็จะอยู่ประมาณนี้ อย่านิ่งนองใจโดยคิดว่าเป็นหวัดแต่หากมีอาการแล้วควรตรวจ ATK สำหรับบริษัทห้างร้านหากมีคนติดโควิด ถ้าอาการน้อยให้แยกกักตัวที่บ้านตามคำแนะนำแพทย์ 7 วันเป็นอย่างน้อย หลังจากนั้นหากสบายดีก็สามารถกลับมาทำงานได้ อย่างไรก็ตามช่วง 3 วันแรกขอให้งดเว้นการพบกับผู้อื่น ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
เมื่อถามถึงกรณีมีรายงานผู้เสียชีวิตตามบ้าน นพ.โอภาส กล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่กทม. จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องหารือกับเขา เพราะจะเป็นจุดที่มีปัญหา และต้องเห็นใจ เพราะเป็นพื้นที่ที่มีรพ.เยอะ ทั้งเอกชน รพ.สังกัดมหาวิทยาลัย รพ.สังกัดกทม. และรพ.ภาครัฐอื่นๆ ทั้งสังกัดตำรวจ ทหาร การบูรณาการจัดการหากไม่คุยกันให้จะมีปัญหาเรื่องการจัดการ ซึ่งต้องยอมรับว่ากทม. ไม่มีระบบการส่งต่อผู้ป่วย แตกต่างจากรพ.ในสังกัดสธ.ซึ่งสามารถสั่งการเรื่องการส่งต่อได้ ดังนั้น กทม.จึงต้องหารือ โดยสธ.ก็ต้องเป็นผู้ประสานให้มีการหารือกันเพื่อจัดระบบ
(อ่านข่าวเกี่ยวข้อง : เปิดข้อมูลวัคซีนโควิด19 เซฟชีวิตคนไทย 490,000 คน)
*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.or
- 385 views