เภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ออกแถลงการณ์ แสดงจุดยืนไม่สนับสนุนการใช้กัญชาด้วยวัตถุประสงค์อื่น นอกจากวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ เผยข้อกังวลควรระมัดระวังในกลุ่มเปราะบาง ,ปัญหายาตีกัน ,กัญชาทำให้เกิดการแพ้ได้โดยไม่ขึ้นกับปริมาณที่ใช้ และปัจจุบันยังไม่มียาต้านพิษกัญชาโดยตรง แนะภายใน 30 วัน รัฐควรทบทวนหากยังมีรายงานอาการไม่พึงประสงค์หรือผลกระทบเชิงลบจากการประกาศใช้กัญชาเสรี
สืบเนื่องจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2565 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ที่ยกเว้นพืชกัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษนั้น เพื่อเป็นการสร้างความสมดุลในการใช้ประโยชน์จากพืชกัญชาทางการแพทย์ และการป้องกันปัญหาอันอาจเกิดจากการเสพพืชกัญชาในรูปแบบต่างๆ อย่างเสรีโดยไม่มีกฎหมายควบคุม ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อประเทศในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพของประชาชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทยใน พระบรมราชูปถัมภ์ มีข้อกังวล และข้อเสนอแนะในเรื่องนี้ดังต่อไปนี้
1. ไม่ควรใช้กัญชาในเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี สตรีมีครรภ์ และให้นมบุตร ผู้ที่มีประวัติแพ้กัญชา ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด, ผู้ป่วยจิตเวช, ผู้ที่มีอาการตับและไตบกพร่อง และผู้ป่วยที่ใช้ยาบางชนิดที่อาจเกิดปฎิกริยาระหว่างยา(ยาตีกัน) กับกัญชา อาทิ ยาละลายลิ่มเลือด, ยาฆ่าเชื้อ, ยาลดความดันโลหิต, แอลกอฮอล์ และยาที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ยานอนหลับ, ยาคลายเครียด, ยาต้านอาการซึมเศร้า,ยากันชักฯลฯ เนื่องจากกัญชาอาจส่งผลกระทบต่อการออกฤทธิ์ของยาอื่นๆ ทำให้มีอาการไม่พึงประสงค์รุนแรง
จนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อีกทั้งยังส่งผลต่อพัฒนาการทางสมอง ร่างกาย ควรตรวจสอบ และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้เสมอ
2. ไม่แนะนำให้ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ หรือวัตถุประสงค์อื่นๆ นอกเหนือจากเหตุผลทางการแพทย์ เนื่องจากต้องมีการควบคุมการใช้ให้เหมาะสมภายใต้การดูแลของแพทย์, เภสัชกร, บุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ
3. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีการติดตามผลกระทบของกัญชาในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง หลังจากประกาศใช้กฎหมายกัญชาเสรี จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตลอดสายห่วงโซ่คุณค่าของทุกผลิตภัณฑ์ที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบ ตั้งแต่การปลูก แปรรูป ผลิต และจำหน่าย ที่ต้องควบคุมตามประกาศกระทรวงฯ ต้องควบคุมการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้า หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชา เพื่อป้องกันการจูงใจในกลุ่มเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่อาจกลายเป็นผู้เสพด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยเร่งประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโทษของการใช้กัญชาที่มีฤทธิ์เสพติด และอาการข้างเคียง อาจเกิดผลเสียต่อสุขภาพกายและใจในระยะสั้นและระยะยาว อีกทั้งต้องทำให้ประชาชนตระหนักว่า การแพ้กัญชาสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ขึ้นกับปริมาณการใช้ บางกรณีอาจเกิดแบบเฉียบพลัน และรุนแรงถึงกับชีวิต อีกทั้งในปัจจุบันยังไม่มียาต้านพิษกัญชาโดยตรง
4. มีมาตรการควบคุมการผลิต ขายอาหาร หรือผลิตภัณฑ์ที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบ กำหนดให้มีการระบุหรือแสดงให้ผู้บริโภคทราบว่ามีกัญชาเป็นส่วนประกอบในอาหารหรือเครื่องดื่ม มีคำเตือนสำหรับกลุ่มเสี่ยงไม่ควรบริโภค อาการ และข้อปฎิบัติหากเกิดพิษ หรืออันตราย โดยแสดงสัญลักษณ์ เครื่องหมาย หรือ
คำเตือนอย่างชัดเจน
5. ประชาชนต้องมีความตระหนัก และรับผิดชอบทั้งต่อตนเอง และส่วนรวม ไม่ควรขับรถหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร หลังการใช้กัญชาเพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ และควรหลีกเลี่ยงการใช้กัญชาเพื่อวัตถุประสงค์อื่น นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ ภายใต้การดูแลของแพทย์, เภสัชกร, บุคลากรทางการแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
6. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนทั้งฝ่ายปกครอง, สาธารณสุข, สังคม และสถาบันการศึกษาควรเร่งให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกัญชา และความตระหนักรู้รับผิดชอบต่อสังคม รณรงค์ไม่บริโภคหรือใช้ "ช่อดอกกัญชา" ผสมในอาหารหรือเครื่องดื่ม
7. รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องให้ความมั่นใจ และสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนได้ว่าจะสามารถดูแลให้มีการบังคับใช้กฎหมายได้อย่างเคร่งครัด คุ้มครองความปลอดภัยไม่ให้ได้รับผลกระทบเชิงลบ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมย์ของการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ โดยต้องประเมินความเสี่ยง และติดตามสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์อย่างต่อเนื่อง หากปรากฎว่าภายใน 30 วัน ภายหลังการประกาศใช้กฎหมายกัญชาเสรี พบว่ามีการนำกัญชาไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม หรือเสี่ยงต่ออันตรายตามที่หลายฝ่ายกังวล ยากต่อการควบคุมให้เป็นไปตามเจตนารมย์ของกฎหมาย ในระหว่างที่กฎหมายประกอบ หรือกฎหมายลูกยังไม่ได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ รัฐบาลควรรีบดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อทบทวน หรือปรับแก้ไขข้อกฎหมาย เพื่อป้องกันความสูญเสีย หรือผลกระทบระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นได้
8. หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยอมรับกันทั่วโลกในด้านประโยชน์ของกัญชาทางการแพทย์ มีเพียงไม่กี่ข้อบ่งใช้ ที่อาจจะช่วยรักษาหรือบรรเทาอาการเจ็บป่วย หากเปรียบเทียบกับผลเสียที่ร้ายแรงต่อสุขภาพนั้น กลับมีมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยเหตุนี้ นานาอารยะประเทศส่วนใหญ่ จึงจัดกัญชาให้อยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษ มีการควบคุมการใช้อย่างเข้มงวด การดำเนินนโยบายปลดล๊อคกัญชาจากพืชเสพติด จะทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงกัญชาได้ง่าย อีกทั้งการปลูกกัญชาตามบ้านเรือนทั่วไป ยังไม่สามารถทำให้ผลผลิตที่ได้มีคุณสมบัติเป็นกัญชาทางการแพทย์ได้ ตามข้อกำหนดคุณภาพมาตรฐานด้านการปนเปื้อน คุณภาพ และปริมาณของ สาระสำคัญ จึงย้อนแย้งกับเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้
9. เภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ขอแสดงจุดยืนไม่สนับสนุนการใช้กัญชาด้วยวัตถุประสงค์อื่น นอกเหนือวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ และเภสัชกรทุกคน มีความยินดีที่จะให้คำปรึกษา แนะนำเกี่ยวกับข้อมูลยา และการใช้กัญชาทางการแพทย์อย่างเหมาะสมแก่บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชน
10. ขอเสนอให้รัฐบาลพิจารณาใช้คำว่า “กัญชาทางการแพทย์” แทนคำว่า “กัญชา” เพื่อสื่อสารให้ประชาชน หรือผู้ใช้ มีความเข้าใจตรงกับวัตถุประสงค์ของการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการนำไปใช้ในทางที่ผิด หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยเฉพาะในผู้ป่วยกลุ่มเปราะบางและเยาวชน
เภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายประสานความร่วมมืออย่างจริงจัง เพื่อเฝ้าระวังและควบคุมมิให้มีการนำกัญชาไปใช้ในทางที่ผิด อันจะส่งผลกระทบต่อสังคม
ในระยะสั้นและระยะยาว
( ภก.ธีระ ฉกาจนโรดม )
นายกเภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
- 493 views