นายกสมาคมนักกฎหมาย อัดข้อเสนอเพิ่มเวลาขายสุรา เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ สังคมมีแต่เสีย ผลกระทบหนัก เชื่อรัฐบาลไม่เอาด้วยเหตุได้ไม่คุ้มเสีย
เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 65 ว่าที่ร้อยตรีสมชาย อามีน นายกสมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิ์และสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงกรณีสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อปลดล็อค ให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ตั้งแต่ 14.00-24.00 น. ว่า เป็นความพยายามของกลุ่มธุรกิจและเครือข่ายที่ร่วมกันผลักดันในหลายช่องทาง และอ้างว่ามีสัญญาณที่ดีจากภาครัฐนั้น ในเรื่องนี้ตนมองว่าเป็นสิทธิที่ธุรกิจสามารถเสนอได้
แต่ทำภายใต้ผลประโยชน์ของธุรกิจตัวเองหรือผลประโยชน์ของส่วนรวม อันนี้สังคมพิจารณาได้ไม่ยาก หากไปดูที่มาของช่วงเวลาในการอนุญาตให้ขายสุราคือระหว่าง 11.00-14.00 น. และ17.00-24.00 น. นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยจอมพบ ป.พิบูลสงคราม ที่ต้องการแก้ไขปัญหาคนกินเหล้าในเวลาทำงาน จนเสียงานเสียการ และบังคับใช้เรื่อยมา จนมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2558 กำหนดเวลาห้ามขายในช่วงเวลาเดียวกันโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา4 และมาตรา 28 มีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ โดยยกเว้นท่าอากาศยานนานาชาติ
“หากเพิ่มเวลาขายตั้งแต่11.00 น ยันเที่ยงคืน ตามข้อเสนอนี้จริง ก็เท่ากับว่ายิ่งเพิ่มเวลากินดื่ม เพิ่มเวลาเมา แล้วจะเสียงานเสียการเหมือนที่เคยเป็นกันหรือไม่ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจะถูกลดทอนลงไปด้วยมากน้อยเพียงมด จุดนี้ต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ซึ่งต้องฟังเสียงจากคนที่ไม่ดื่มที่มีมากกว่าร้อยละ70ด้วย เพราะเจตนารมณ์ของกฎหมายนี้คือคุ้มครองสุขภาพประชาชน ลดผลกระทบทางสังคม ดังนั้นสังคมต้องช่วยกันส่งเสียงว่าเห็นด้วยหรือไม่กับข้อเสนอของกลุ่มธุรกิจ ทั้งนี้สิ่งที่ควรเกิดขึ้นคือทำให้กฎหมายแข็งแรงขึ้นไม่ใช่อ่อนแอลง เช่น ให้มีภาพคำเตือน หรือการห้ามใช้ตราเสมือนมาโฆษณา เป็นต้น” ว่าที่ร้อยตรีสมชาย กล่าว
ด้านนายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ใช่สินค้าธรรมดาเหมือนสิ่งของทั่วไป เพราะมันมีผลกระทบต่อผู้อื่นซึ่งมีงานวิจัยว่ามีผลกระทบสูงที่สุดมากกว่าสิ่งเสพติดทุกชนิด จึงต้องควบคุม ยิ่งกว่ายาสูบ เพราะกระทบหลายมิติมากกว่า การจำกัดการเข้าถึงถือเป็นหนึ่งในสามมาตรการสำคัญของ องค์การอนามัยโลก (WHO) รองมาจากมาตรการด้านภาษี และการควบคุมการโฆษณา
คำถามสำคัญคือทุกวันนี้ผลกระทบที่เกิดขึ้นยังไม่พออีกหรือ หากขยายเวลาขายออกไปอีกผลกระทบจะเพิ่มมากขึ้นแค่ไหน กลุ่มธุรกิจจะร่วมรับผิดชอบได้หรือ เรื่องนี้มองแค่ตอบโจทย์ด้านเศรษฐกิจของผู้เสียประโยชน์อย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดูผลประโยชน์ของส่วนรวมยิ่งกว่า เพราะข้อเท็จจริง
จากงานวิจัยของ Health Intervention and Technology Assessment Program(HITAP) พบว่าทุกๆ1 บาทที่ภาครัฐเก็บภาษีได้จากน้ำเมา รัฐและสังคมกลับต้องเสียออกไปถึง 2 บาทในค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและผลกระทบอื่นๆโดยรวม ยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ แบบนี้ ควรให้คนส่วนใหญ่นำค่าน้ำเมาปีละกว่า 3แสนล้านไปใช้ในสิ่งจำเป็น และดีต่อเศรษฐกิจโดยเฉพาะคนเล็กคน้อย ดีกว่าไปเพิ่มความรวยให้ทุนใหญ่ที่ร่ำรวยมหาศาลอยู่แล้ว
“ข้อเสนอนี้ถือว่าเห็นแก่ได้จนเกินไป บรรดาธุรกิจน้ำเมามาช่วยกันค้าขายโดยปฏิบัติตามกฎหมายจะดีกว่าไหม ส่วนข้ออ้างเรื่องบริบททางสังคมเปลี่ยนไป เพราะองค์กรต่างๆมีกติกาลงโทษผู้ที่ดื่มหรือมีอาการมึนเมาในเวลางานอยู่แล้วจึงไม่ควรห้ามนั้น ต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ว่าคนดื่มสุราไม่ใช่มีแค่คนในบริษัท ราชการ ห้างร้าน ที่มีกติกาควบคุม แต่ยังมีคนอีกจำนวนมากที่อยู่นอกสังกัดเหล่านั้น ถ้าในเวลาทำงานหาซื้อกันได้ง่ายแล้ว ปัญหาต่างๆจะตามมาเป็นเงาตามตัว ในเรื่องนี้เครือข่ายจึงคัดค้านอย่างเต็มที่และไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะบ้าจี้ตามข้อเสนอนี้” นายชูวิทย์ กล่าว
*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org
- 163 views