เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ สำนักพระราชวังเดนมาร์กแถลงว่าสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอแห่งเดนมาร์ก พระชนมายุ 81 พรรรษาทรงมีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก แต่ทรงแสดงอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และทรงกักพระองค์อยู่ในปีกด้านหนึ่งของพระราชวังอาเมเลียนบอร์กในใจกลางกรุงโคเปนเฮเกน
ข่าวการติดเชื้อขององค์พระประมุขแห่งเดนมาร์กบอกอะไรเราได้สองอย่าง อย่างแรก การระบาดยังขยายวงกว้างจนแม้แต่สมเด็จพระราชินีนาถยังทรงติดเชื้อ โดยวันนั้นมีผู้ติดเชื้อสูงถึง 55,120 คนหลังจากอัตราการติดเชื้อพุ่งขึ้นมาช่วงปลายเดือนมกราคม และอย่างที่สอง ผู้ติดเชื้อแม้แต่ระดับผู้นำของประเทศก็ยังต้องกักตัวอยู่
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เดนมาร์กกลายเป็นประเทศแรกในสหภาพยุโรปที่ยกเลิกข้อจำกัดเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 ทั้งหมดภายในประเทศ โดยที่โคโรนาไวรัสไม่ถือเป็น "โรคร้ายแรงทางสังคม" อีกต่อไป ซึ่งหมายความนับแต่นั้นคำสั่งของภาครัฐเหล่านี้จะสิ้นสุดลง คือการบังคับให้หน้ากากในร่ม การใช้ "บัตรผ่านโควิด" (หมายถึงผู้ฉีดวัคซีนหรือติดเชื้อมาแล้วในระยะเวลาที่กำหนด) สำหรับใช้บริการบาร์ ร้านอาหาร และสถานที่ในร่มอื่นๆ รวมถึงภาระผูกพันทางกฎหมายในการกักตัวเองหากบุคคลเหล่านั้นมีผลตรวจเป็นบวก
ในวันที่ประกาศยกเลิกนั้น เดนมาร์กมีอัตราการติดเชื้อสูงเป็นอันดับสองของโลก ทั้งๆ ที่ 81% ของประชากรเดนมาร์กได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างครบถ้วน แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านสาธารณสุขกล่าวว่า เพราะผู้ติดเชื้อไม่มีอาการป่วยหนักอีกต่อไป (อัตราผู้ป่วย ICU แค่ 30 คนจากประชากร 6 ล้านคน ณ วันที่รายงานข่าวนี้) ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ของเดนมาร์กไม่คิดว่าคำสั่งเชิงอาณัติเรื่องบังคับวัคซีนไม่จำเป็นอีก (1)
เทริล ลิลเลอแบก (Troels Lillebaek) ผู้อำนวยการสถาบัน Statens Serum Institute ในกรุงโคเปนเฮเกน กล่าวว่า การเปิดประเทศใหม่อีกครั้งน่าจะนำไปสู่จุดสูงสุดของการติดเชื้อในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ แต่ทางการเน้นที่จำนวนการรักษาในโรงพยาบาล ไม่ใช่ตัวเลขการติดเชื้ออีกต่อไป และตอนนี้อัตราการรักษาพยาบาลลดต่ำลง แม้จะมีผู้ติดเชื้อจำนวนมหาศาล รวมถึงสมเด็จพระราชินีนาถ ผู้ติดเชื้อเหล่านี้จะต้องกักตัวเอง แต่คนอื่นๆ ในประเทศใช้ชีวิตกันตามปกติต่อไป ทั้ง เข้าผับ ปาร์ตี้ ไปสนามกีฬา The New York Times บอกว่า "ในเดนมาร์ก ไวรัสโคโรน่ามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ถนน คาเฟ่ และร้านค้าเต็มไปด้วยผู้คน" (2)
ท่าทีของเดนมาร์กทำให้หลายประเทศดำเนินรอยตาม เริ่มต้นจากเพื่อนบ้านร่วมภูมิภาคอย่างนอร์เวย์ที่ตามรอยอย่างรวดเร็ว โดยที่นายกรัฐมนตรีโยนัส กาฮ์ร สโตร (Jonas Gahr Store) กล่าวว่าสังคมต้อง "อยู่กับ" ไวรัสให้ได้
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ สวีเดนได้หยุดการตรวจเชื้อโควิด-19 ในวงกว้าง แม้แต่ในผู้ที่แสดงอาการติดเชื้อ สาเหตุหลักๆ คือ ต้นทุนการตรวจเชื้อนั้นสูงมาก หัวหน้าหน่วยงานสาธารณสุขของสวีเดน คาริน เทกมาร์ก วิเซลล์ (Karin Tegmark Wisell) กล่าวกับ SVT ของการออกอากาศทั่วประเทศในสัปดาห์ที่ประกาศหยุดตรวจเชื้อว่า “เรามาถึงจุดที่ต้นทุนและความเกี่ยวข้องของการตรวจเชื้อไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไป” และบอกว่า “ถ้าเราต้องทำการตรวจเชื้ออย่างละเอียดเพื่อตอบรับให้เข้ากับทุกคนที่ติดเชื้อโควิด-19 นั่นจะหมายถึง (การใช้) เงินครึ่งพันล้านโครนต่อสัปดาห์ (ประมาณ 55 ล้านดอลลาร์) และ 2,000 ล้านต่อเดือน (220 ล้านดอลลาร์)” (3)
จากเดนมาร์กถึงสวีเดน และจากสวีเดนแนวคิด "ประกาศชัยชนะเหนือโควิด" เริ่มกระจายไปในประเทศอื่นๆ ในยุโรป เช่น สาธารณรัฐเชคที่ประกาศยกเลิกข้อจำกัดเกือบทั้งหมดที่เกี่ยวกับการป้องกันโควิด-19 แบบเดียวกับเดนมาร์ก ขณะที่นายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนีกล่าวเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ว่า ชาวเยอรมันสามารถเรียนรู้บทเรียนจากอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่สูงของเดนมาร์ก และเรียกร้องให้ชาวเยอรมันให้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น เพื่อให้ประเทศสามารถผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ ได้
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับการยกเลิกทุกมาตรการของเดนมาร์กและการหยุดตรวจเชื้อของสวีเดน ก่อนอื่นมาดูเงื่อนไขของทั้ง 2 ประเทศที่ไม่เหมือนกันเสียก่อน สิ่งที่ต่างกันก็คือ เดนมาร์กยังต้องใช้วิธีการตรวจผู้ติดเชื้ออยู่ มักนุส ฮอยนิเคอ (Magnus Heunicke) รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของเดนมาร์กยอมรับว่ากลยุทธ์ปัจจุบันอาจไม่ยั่งยืน เนื่องจากต้องอาศัยความสามารถในการตรวจเชื้อที่มีราคาแพง ซึ่งแม้แต่เดนมาร์กที่ขึ้นชื่อว่า "มีเงิน" ก็อาจไม่สามารถจ่ายต้นทุนนี้ได้ในระยะยาว ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสวีเดนจึงสละต้นทุนนี้ไปเสียเลย
แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ มีผู้ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของเดนมาร์กกับสวีเดน ในกรณีของเดนมาร์กมีทั้งเสียงติงจากผู้เชี่ยวชาญและท่าที "ไม่แคร์" กับการตั้งการ์ดต่อไปอีก เพราะพวกเขาใช้วิธีไปตายเอาดาบหน้าตอนถึงฤดูที่อุณหภูมิหนาวเย็นลงกว่านี้
ในส่วนของเสียงติงเดนมาร์กก็เช่น สตีเฟน กริฟฟิน (Stephen Griffin) รองศาสตราจารย์ด้านไวรัสวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยลีดส์ในอังกฤษ กล่าวกับ The New York Times แม้ผู้ติดเชื้ออาการหนักจะลดลง แต่อัตราการเสียชีวิตและผู้ป่วย ICU ที่ลดลงไม่ควรเป็นปัจจัยเดียวที่จะต้องพิจารณาในการยกเลิกมาตรการต่างๆ กริฟฟินชี้ว่าเป้าหมายควรเป็นการป้องกันไม่ให้ประชาชนล้มป่วยแต่เนิ่นๆ แทนที่จะไปมองว่าผู้เข้าโรงพยาบาลเพราะโควิด-19 น้อยลง และเขายังบอกว่า “ผมหวังว่าพวกเขาจะไม่ต้องจ่ายต้นทุนราคาแพงกับการไม่ระมัดระวังตัวต่อไปอีกสักสองสามสัปดาห์” (2) ซึ่งตีความได้ว่ากริฟฟินคิดว่าเดนมาร์กด่วนตัดสินใจจนเกินไป
มันยังมีโอกาสที่การระบาดจะกลับมาเรื่อยๆ อีก ซึ่งนี่เกี่ยวกับท่าที "ไม่แคร์" กับการตั้งการ์ดต่อไปอีกของเดนมาร์ก เพราะรัฐบาลก็เตือนว่าในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว คาดว่าจะมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกฤดูกาล ซึ่งอาจต้องฉีดวัคซีนเพิ่มเติม และหากย้อนกลับไปดูก็จะพบว่าเดนมาร์กยกเลิกข้อจำกัดโควิด-19 ทั้งหมดมาก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก โดยทำครั้งแรกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 แต่ภายหลังได้คืนสถานะเดิมคือการควบคุมโรคเมื่อเผชิญกับการติดเชื้อระลอกที่สาม ดังนั้นการยกเลิกมาตรการต่างๆ ในคราวนี้ยากที่จะมองว่าเป็นคำสั่งถาวร แม้ว่าสื่อต่างๆ จะเสนอไปในทิศทางดียวกันว่า "สวีเดนพ้นจากการระบาดแล้ว" ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
ส่วนสวีเดน มีปัญหาที่ซับซ้อนกว่า คงจะจำกันได้ว่าเมอื่เกิดดารระบาดใหญ่ใหม่ๆ รัฐบาลมีการตอบสนองที่ไม่เหมือนใครจนเป็นประเด็นถกเถียงหนักหน่วงทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ทำการล็อคดาวน์และการกักกันเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโรค รัฐบาลสวีเดนใช้แนวทางที่ผ่อนปรนโดยให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจและดำเนินการตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมเท่านั้น เช่น การห้ามชุมนุมใหญ่และจำกัดการเดินทาง วิธีการนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ก็มีผู้เห็นด้วยคอืกลุ่มผู้ต่อต้านการเว้นระยะห่างทางสังคมซึ่งมักจะอ้างถึงการตอบสนองของสวีเดนเป็นตัวอย่าง แต่สุดท้ายรัฐบาลสวีเดนต้องกลับลำมาใช้แนวทางที่เข้มงวดขึ้่น เพราะมีรายงานการสอบสวนที่ชี้ชัดถึงความล้มเหลวในการปกป้องประชาชนจากการติดเชื้อ
ดังนั้น เมื่อสวีเดนใช้ "แนวใหม่" จึงไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นด้วย
แม้ล่าสุด เลนา เฮลเลนเกน (Lena Hallengren) รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข กล่าวกับสื่อท้องถิ่น Dagens Nyheter ว่า “อย่างที่เราทราบการระบาดใหญ่นี้ ฉันอยากจะบอกว่ามันจบลงแล้ว” แต่ “มันยังไม่จบ แต่อย่างที่เราทราบในแง่ของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและข้อจำกัดต่างๆ (มันจบแล้ว)” พร้อมเสริมว่าโควิดจะไม่จัดว่าเป็นอันตรายต่อสังคมอีกต่อไป แต่ท่าทีนี้มีผู้ไม่เห็นด้วย
เฟรดริก เอลก์ (Fredrik Elgh) ศาสตราจารย์ด้านไวรัสวิทยาที่มหาวิทยาลัยอูเมอา และหนึ่งในนักวิจารณ์อย่างแข็งขันที่สุดเกี่ยวกับนโยบายไม่ล็อกดาวน์ของสวีเดน กล่าวกับรอยเตอร์ว่า “เราควรมีความอดทนมากกว่านี้ รออย่างน้อยอีกสองสามสัปดาห์ และเรามั่งคั่งพอที่จะทำการทดสอบต่อไป” และบอกว่า "โรคนี้ยังคงเป็นสายพันธุ์ที่ยสร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อสังคม" (4)
น่าประหลาดที่คำพูดของเฟรดริก เอลก์เหมือนกับสตีเฟน กริฟฟินที่บอกว่ากรณีของเดนมาร์กนั้นควรรอต่ออีกสักสองสามสัปดาห์เช่นกัน
อ้างอิง
1. McLean,Scott, Doherty, Livvy, Kent, Lauren. (February 1, 2022). "Denmark becomes first EU country to lift all Covid-19 restrictions". CNN.
2. Peltier, Elian. (February 8, 2022). "Denmark, Overflowing With Virus Cases, Embraces a ‘Bring It On’ Attitude". The New York Times.
3. Keyton, David. (February 9, 2022). "Sweden ends COVID-19 testing as pandemic restrictions lifted". AP.
4. "Sweden declares Covid-19 pandemic over, despite warnings from scientists". (February 9, 2022). Reuters.
ภาพ
Source https://www.flickr.com/photos/kristoffer-trolle/51409025422/
Author Kristoffer Trolle
- 952 views