หลายประเทศเริ่มประกาศ "เปิดประเทศ" กันแล้วแม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะลงมาไม่มากนักและยังมีความเสี่ยงสูง ประเทศที่ประกาศจะเปิดประเทศให้ใช้ชีวิตตามปกติในเดือนพฤศจิกายน เช่น ไทยและเกาหลีใต้ ในขณะที่สหรัฐอเมริกาประกาศจะเปิดประเทศให้ผู้มาจากประเทศอื่นสามารถเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาได้ตั้งแต่วันที่ 8 พศฤจิกายน โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้ว

สหรัฐอาจจะไม่ใช่ประเทศที่เป็นแบบอย่างได้ในการควบคุมการระบาด แต่มาตรการที่ออกมาโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ช่วงปลายเดือนตุลาคมเพื่อเตรียมพร้อมกับการเปิดประเทศมีความรัดกุมไม่น้อยและสามารถเป็นตัวอย่างให้กับบางประเทศที่ต้องการเดินตามรอยสหรัฐได้ ถือเป็นหนึ่งในหลายๆ สูตรของการเปิดประเทศ ซึ่งมีทั้งแต่การเปิดรับบางประเทศเข้ามาโดยกักตัว การทะยอยเปิดให้ทีละสองสามประเทศ ไปจนถึงการเปิดรับหลายๆ ประเทศและทุกคนที่ฉีดวัคซีนครบ

ก่อนหน้านี้ในเดือนกันยายน รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศมาตรการที่จะมีผลในต้นเดือนพฤศจิกายนว่า ชาวต่างชาติจะได้รับอนุญาตให้บินเข้าสหรัฐฯ หากพวกเขาได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนและสามารถแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนก่อนขึ้นเครื่องเที่ยวบินที่มุ่งหน้าไปยังสหรัฐฯ (1)

ก่อนหน้านี้ ผู้เดินทางทุกคนที่มุ่งหน้ามายังสหรัฐฯ รวมถึงพลเมืองสหรัฐฯ จะต้องมีผลการทดสอบไวรัสเป็นลบภายใน 3 วันก่อนเดินทางไปสหรัฐฯ โดยไม่คำนึงถึงสถานะการฉีดวัคซีน ผู้เดินทางจาก 33 ประเทศถูกห้ามไม่ให้เข้าสหรัฐฯ แม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้วก็ตาม (2)

แต่ในวันที่ 25 ตุลาคม ก็มีการประกาศใหม่ นอกจากจะกำหนดให้ผู้ที่เข้าสหรัฐฯ ต้องฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้ว และเพิ่มประเทศที่อนุญาตให้เข้ามาได้จากเดิมที่สั่งห้ามเข้า ยังระบุข้อยกเว้นสำหรับข้อกำหนดนั้น ตัวอย่างเช่น คนที่มาจากประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำกว่า 10 % จะต้องให้เหตุผลที่หนักแน่นพอว่าทำไมพวกเขาจึงเดินทางไปสหรัฐฯ และยังยกเว้นให้กับนักท่องเที่ยวที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากเด็กยังไม่มีสิทธิ์รับวัคซีนในหลายประเทศ ผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้เข้าร่วมการทดลองทางคลินิก และผู้เดินทางโดยแจ้งให้ทราบล่วงหน้า (2)

ผู้ที่เดินทางเข้ามาจะต้องมีหลักฐานการฉีดวัคซีนและผลการทดสอบการติดเชื้อก่อนขึ้นเครื่องบิน และจะขึ้นอยู่กับวิจารณญาณสายการบินในการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวว่าข้อมูลเหล่านั้นออกโดยแหล่งที่เป็นทางการหรือไม่ และเป็นไปตามคำจำกัดความของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) เกี่ยวการฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วนหรือไม่ (2) และCDC จะกำหนดให้สายการบินรวบรวมและติดตามข้อมูลการติดต่อผู้ติดเชื้อจากนักเดินทางที่เข้ามายังสหรัฐฯ และอาจแบ่งปันข้อมูลดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลาง (3)

สำหรับประเด็นนี้มีจุดที่น่าสนใจก็คือ ดูเหมือนว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะโยกอำนาจการตัดสินใจในการคัดกรองคนเข้าประเทศและขอความร่วมมือจากสายการบินพอสมควร ซึ่งอาจเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจ เนื่องจากภาคธุรกิจโดยเฉพาะสายการบินที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการปิดประเทศและห้ามการเดินทาง เรียกร้องให้รัฐบาลเปิดประเทศมาโดยตลอด และหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐประกาศเปิดประเทศช่วงแรกในเดือนกันยายนที่กำหนดให้ผู้เดินทางเข้าจากประเทศที่กำหนดไว้ต้องฉีดวัคซีนครบถ้วน มีรายงานจากผู้บริหารของ Delta Air Lines, United Airlines และ American Airlines ว่าการจองตั๋วเดินทางระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปเพิ่มขึ้น (3)

โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังให้ความสำคัญกับการเปิดน่านฟ้าเป็นพิเศษโดยกล่าวว่า “เพื่อประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาที่จะขยับออกจากข้อจำกัดที่มีต่อแต่ละประเทศที่ใช้ก่อนหน้านี้ในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และเพื่อปรับใช้นโยบายการเดินทางทางอากาศที่อาศัยการฉีดวัคซีนเป็นหลักเพื่อความก้าวหน้าของการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศที่ปลอดภัยไปยังสหรัฐอเมริกา” (4)

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กักกันจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคจะทำการตรวจสอบผู้โดยสารที่มาถึงสหรัฐฯ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด สายการบินที่ไม่บังคับใช้ข้อกำหนดอาจได้รับโทษปรับสูงถึงเกือบ 35,000 ดอลลาร์ต่อการละเมิดหนึ่งครั้ง (5)

แต่มันเป็นมาตรการที่ทำได้ไม่ยากและคุ้มค่ามากสำหรับธุรกิจการบินที่เกือบจะล้มละลายไปตามๆ กัน ตามข้อมูลจากบริษัทวิจัยด้านการบิน Cirium สายการบินสหรัฐและสายการบินต่างประเทศวางแผนที่จะให้บริการเที่ยวบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก (การเดินทางระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป) ประมาณ 14,000 เที่ยวในตุลาคม โดยเพิ่มขึ้นมาเท่ากับครึ่งหนึ่งของเที่ยวบิน 29,000 เที่ยวที่สายการบินเหล่าดำเนินการในช่วงเดือนตุลาคม 2562 หรือช่วงก่อนการระบาดใหญ่ (5) ซึ่งแม้จะเป็นการเพิ่มขึ้นครึ่งเดียว แต่เป็นนิมิตหมายอันดีว่าธุรกิจของพวกเขามีหวังแล้ว จากเดิมที่แทบไม่มีเที่ยวบินและไม่มีความหวังเลย

ประเด็นสำคัญอีกเรื่องที่กระทบต่อคนต่างชาติอย่างมากก็คือเรื่องของยี่ห้อวัคซีนที่สหรัฐฯ อนุมัติ เจ้าหน้าที่รายหนึ่งเผยกับ NBC ว่าสหรัฐฯ จะยอมรับวัคซีนใดๆ ที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอนามัยโลก (WHO) แม้ว่าจะยังไม่ได้รับการอนุมัติในสหรัฐอเมริกาก็ตาม รวมถึงวัคซีนรัสเซียและจีนด้วย (2) วัคซีนที่อนุมัติรวมถึงวัคซีน Pfizer, Moderna, Johnson & Johnson, AstraZeneca และ Sinopharm และ Sinovac ของจีน และยังอนุญาตสูตรการฉีดไขว้ (5) ดังนั้นประเทศที่ใช้วัคซีนจีนในวงกว้างและการฉีดไขว้อย่างไทยจึงไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้

นโยบายนี้จึงค่อนข้างใจกว้างและยืนหยุ่นกับประเทศอื่นๆ ไม่น่อยเลย และสำนักข่าว AP ตั้งข้อสังเกตว่า มันยังสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับข้อกำหนดในการฉีดวัคซีนของรัฐบาลสหรัฐว่าเป็นเครื่องมือในการผลักดันชาวอเมริกันจำนวนมากขึ้นเพื่อให้รับวัคซีน ด้วยการทำให้ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนพบกับความไม่สะดวกที่จะใช้ชีวิตตามปกติ เนื่องจากในระยะหลังอัตราการฉีควัคซีนในสหรัฐฯ ช้าลง และไหนจะมีกระแสต่อต้านวัคซีนที่กระจายไปในหลายพื้นที่อีกด้วย (5)

อย่างไรก็ตาม นี่ยังเป็นปัญหาสำคัญมากและอาจเป็นสาเหตุที่รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้เสนอข้อกำหนดการฉีดวัคซีนสำหรับการเดินทางภายในประเทศเนื่องจากสายการบินคัดค้านอย่างดุเดือด โดยสายการบินกล่าวว่าจะไม่สามารถทำได้เนื่องจากมีผู้โดยสารจำนวนมากที่บินภายในสหรัฐอเมริกาทุกวัน (5) ซึ่งจำนวนผู้เดินทางมากๆ นั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ในผู้โดยสารอาจมีผู้ไม่ยอมฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมกาและขัดขืนมาตรการต่างๆ นานา ด้วยอ้างสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลและไม่อยากให้รัฐเข้ามายุ่มย่ามกับสุขอนามัยส่วนบุคคล ซึ่งเป็นหนึ่งในข้ออ้างที่กลุ่มต่อต้านวัคซีนใช้มาโดยตลอด

แต่เรื่องในประเทศไม่ใช่ประเด็นหลักของการเปิดประเทศ การเปิดประเทศของรัฐบาลโจ ไบเดนมุ่งไปที่การเปิดการเดินทางข้ามชาติให้เป็นปกติอีกครั้ง ดังที่โจ ไบเดน ออกคำประกาศในวันที่ 25 ตุลาคม คือ "คำประกาศเกี่ยวกับการเดินหน้าสู่การเริ่มต้นใหม่อย่างปลอดภัยของการเดินทางทั่วโลกในช่วงการระบาดของโควิด-19" ที่แสดงให้เห็นว่าสหรัฐต้องการเป็นผู้นำในการนำพาโลกให้กลับสู่สภาพปกติอีกครั้ง

ก่อนที่จะประกาศ "เปิดประเทศ" ไบเดินเริ่มต้นคำประกาศด้วยการอ้างข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ก่อน เพื่อเป็นการตอบโต้แบบกันไว้ก่อนต่อกลุ่มต่อต้านวัคซีนที่ไม่สนใจหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เขากล่าวว่า "เป็นนโยบายของรัฐบาลของผมที่จะใช้มาตรการด้านสาธารณสุขตามหลักวิทยาศาสตร์ ในทุกพื้นที่ของรัฐบาลกลาง เพื่อป้องกันการแนะนำ การแพร่ และการแพร่กระจายของโควิด-19 เข้าสู่และทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา รวมทั้งจากผู้เดินทางทางอากาศระหว่างประเทศ"

และชี้ว่า "จากข้อมูลของ CDC บุคคลที่ได้รับวัคซีนมีโอกาสติดเชื้อน้อยกว่า 5 เท่า และมีโอกาสน้อยที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตเนื่องจากโควิด-19 ถึง 10 เท่า เมื่อเทียบกับบุคคลที่ไม่ได้รับวัคซีน" และมาตรการอื่นๆ ก็มีความสำคัญในการลดการระบาด เช่น การสวมหน้ากาก (ซึ่งชาวอเมริกันจำนวนไม่น่อยขัดขืนไม่ยอมสวม "แต่การฉีดวัคซีนเป็นมาตรการที่สำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อโควิด-19 และเพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วยที่รุนแรง การรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต" (6)

ไบเดนกล่าวว่า มีความพยายามอย่างมากในการเพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนทั่วโลก ความพร้อมของวัคซีนป้องกันโควิด-19 กำลังเพิ่มขึ้น และมีการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 6,000 ล้านโดสทั่วโลก ณ วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2564 มี 29 ประเทศมีอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สูงกว่า 70% หลายประเทศกำลังพยายามสนับสนุนให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่ประชากรของตน และบางประเทศกำลังพิจารณาใช้หลักฐานยืนยันกรฉีดวัคซีนเป็นเงื่อนไขในการเข้าประเทศ ส่วนประเทศรายได้ต่ำและได้รับวัคซีนน้อยสหรัฐก็พยายามให้ความช่วยเหลือ

ไบเดน จึงกล่าวจากข้อเท็จจริงและสถานการณ์เหล่านี้ เขาจึงได้พิจารณาแล้วว่าเพื่อประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาที่จะขยับออกจากข้อจำกัดที่ใช้กับแต่ละประเทศซึ่งใช้ก่อนหน้านี้ในช่วงการระบาดของโควิด-19 และใช้นโยบายการเดินทางทางอากาศที่ยึดการฉีดวัคซีนเป็นหลักเพื่อเริ่มต้นการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศไปยังสหรัฐอเมริกาอย่างปลอดภัย แต่บุคคลที่ไม่ได้รับการฉีควัคซีนครบถ้วนนั้นถือเป็น "อันตรายต่อผลประโยชน์ของประเทศสหรัฐอเมริกา และการเข้าประเทศควรอยู่ภายใต้การควบคุม ข้อจำกัด และข้อยกเว้นบางประการ" (6)

 

อ้างอิง

1. "U.S. to ease Covid travel entry rules, require vaccinations for foreign visitors on Nov. 8" (October 15, 2021). NBC.

2. "Biden administration unveils new Covid vaccine, testing requirements for travel into U.S". (October 26, 2021). NBC.

3. "U.S. to require contact tracing, Covid tests when international visitor curbs lift next month". (October 26, 2021). CNBC.

4. "Covid: Biden sets new rules as air travel to the US reopens". (October 26, 2021). BBC.

5. "US details new international COVID-19 travel requirements". (October 26, 2021). AP.

6. "A Proclamation on Advancing the Safe Resumption of Global Travel During the COVID-⁠19 Pandemic". (October 25, 2021). The White House.

ภาพ Adam Schultz - https://www.whitehouse.gov/administration/president-biden/