การประกาศเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวกลุ่มความเสี่ยงต่ำโดยไม่กักตัวในวันที่ 1 พ.ย. ของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมกับการผ่อนคลายมาตรการให้ขายแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ในช่วงปลายปี อาจเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร สายการบิน บริษัททัวร์หรือกิจการอื่นๆ หลังเผชิญความยากลำบากมาเกือบ 2 ปี ทว่าความรู้สึกของผู้ประกอบการก็ยังมีข้อกังวลและคำถามถึงความพร้อมของภาครัฐกับความหวังในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ

นอกจากเงื่อนไขการรับนักท่องเที่ยวต้องรับวัคซีนครบโดสจากประเทศความเสี่ยงต่ำอย่างน้อย 10 ประเทศ และมีหลักฐานผลตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ไม่พบเชื้อจากประเทศต้นทางและตรวจหาเชื้ออีกครั้งเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว อีกหลายอย่างยังไม่มีความชัดเจน

แม้แต่รายชื่อประเทศเสี่ยงต่ำที่เหลือถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการประกาศเพิ่มเติม หลังจากมีการเอ่ยออกมาเพียง อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน และสหรัฐ ขณะที่เหลือเวลาอีกแค่ 2 สัปดาห์!

ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อ้างถึงคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 12 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า “ยังพอมีเวลาเตรียมการ”

 

>> เงื่อนไขไม่ชัด...ชี้วัดความไม่พร้อม ?

“มันเลยความกลัวมาแล้ว กลัวอดตายกันมากกว่า”

รุจิรา คงปรีพันธุ์ เจ้าของบริษัทวิสต้า แทรเวล พัทยา กล่าวถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดหลังเปิดประเทศอย่างที่หลายคนกังวล เพราะในความเป็นจริงแล้วยังไม่เปิดเต็มระบบเสียทีเดียวและมีเงื่อนไขของวัคซีนพาสปอร์ต แต่ไม่มั่นใจในความพร้อมในการบริหารจัดการของภาครัฐมากกว่า

“แค่นายกแถลงยังไม่เคลียร์เลย เหลือเวลาไม่ถึงเดือน ข้อมูล 10 ประเทศอะไรบ้างยังไม่รู้เลย เข้ามาแล้วมีระบบตรวจโควิดอีกรอบตอนไหนอย่างไร ยังไม่เห็นอะไรชัดเจน ทั้งที่การออกมาประกาศแบบนี้ควรมีความชัดเจนมาแล้ว เพราะเมื่อออกมาประกาศแล้วก็มีลูกค้าถามเข้ามาทันทีแต่ไม่สามารถตอบรายละเอียดได้ จึงดูจะไม่มีความพร้อมเท่าไรนัก”

เจ้าของบริษัททัวร์ เผยว่าธุรกิจนำเที่ยวจะหารายได้จากนักท่องเที่ยวที่มาจองผ่านเอเยนต์ แต่การท่องเที่ยวในประเทศที่ผ่านมาทั้งสถานประกอบการ สถานที่ท่องเที่ยวต่างช่วยเหลือตัวเองลดราคาลงมา ทำให้ไม่เหลือช่องว่างสำหรับบริษัททัวร์ และธรรมชาติของคนไทยก็จะท่องเที่ยวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ บริษัททัวร์ได้รับผลกระทบหนักมากไม่มีรายได้เลย ตอนนี้อยู่ในจุดที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดช่วยเหลือตัวเองกันอยู่แล้ว คงไม่อะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว

“มันถึงจุดที่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ แต่ก็ต้องทำด้วยความรัดกุมและชัดเจน” รุจิรากล่าว

พัลลภ แซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีบอกว่าประเทศที่เสี่ยงต่ำ 10 ประเทศ ฉีดวัคซีนแล้วมาถึงเมืองไทยวันแรก Swab test แล้วไปที่พัก Quarantine วันเดียวรอฟังผล ก็ทำให้เงื่อนไขในการเข้าประเทศเสมือนนานาอารยะประเทศที่เขาทำกัน แต่ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มประเทศเสี่ยงต่ำนำโควิดเข้ามาไม่ได้ เพราะฉะนั้นการแบ่งกลุ่มประเทศเสี่ยงต่ำก็จะมีการร่อนตะแกรงมาระดับหนึ่ง อย่างน้อยมีการSwab test มีการ RT-PCR

“การลดเงื่อนไขถือว่าเป็นสัญญาณบวก แต่อย่างไรก็ต้องยกการ์ดสูงเพราะโควิดไม่ได้มาจากต่างประเทศเท่านั้น มันอยู่ในประเทศเราแล้วและไม่รู้ว่ามันจะ pop up ขึ้นมาวันไหน มันเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการต้องยกการ์ดสูงเข้ามาตรฐาน CHA+ บุคลากรฉีดวัคซีน ส่วนประชาชนก็ต้องฉีดวัคซีน เราตอบไม่ได้ว่าจะโชคร้ายวันไหน วันนี้ชาวต่างชาติยังไม่เข้ามาก็ยังมีคลัสเตอร์ขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกเมือง ในระดับพื้นที่คนจัดงาน ตลาด ต้องตระหนักแล้วว่าถ้าไม่อยากถูกปิดตลาดหรือเป็นพื้นที่มีความเสี่ยงก็ต้องยกการ์ดสูง" นายพัลลภ กล่าว

(พัลลภ แซ่จิว)

 

>> ถ้าจะเรียกความมั่น...วัคซีนต้องมา

ในฐานะเจ้าของโรงแรมและนายกสมาคมโรงแรมจังหวัดกระบี่ วิชุพรรณ ภูเก้าล้วน ศรีสัญญา เห็นด้วยกับการเปิดประเทศในเวลานี้ เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นที่มีโอกาสฟื้นฟูการท่องเที่ยว หากเปิดไม่ทันช่วงนี้จะสูญเสียโอกาสในการหารายได้ไปไม่น้อยแน่นอน แต่ความมั่นใจของนักท่องเที่ยวยังเป็นสิ่งสำคัญ เห็นได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยโดยหลังเปิดโครงการเราเที่ยวด้วยกันช่วงต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมามีผู้สมัครร่วมใช้สิทธิในโครงการเพียง 200,000 คนจากที่เปิดให้ถึง 2 ล้านสิทธิ

“การเปิดประเทศต้องดำเนินตามมาตรการเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม 70 % เพื่อช่วยลดความรุนแรงและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งส่วนของฝั่งอันดามันที่อยู่ในแซนด์บ็อกซ์ไม่น่ากังวลเพราะตามแผนน่าจะครอบคลุมภายในสิ้นเดือนต.ค.นี้ แต่เป็นห่วงในบางจังหวัดจะสามารถเร่งฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมและวางเงื่อนไขและความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ได้มากน้อยแค่ไหน”

(วิชุพรรณ)

 

>> จับตา Trend ท่องเที่ยวอาจเปลี่ยนไป

สถานการณ์แพร่ระบาดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อาจทำให้แนวทางและลักษณะการท่อเที่ยวเปลี่ยนไป พัลลภ แซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า สำหรับเชียงใหม่แล้วคนไทยคือตลาดหลัก ส่วนนักท่องเที่ยวขาวต่างชาติคือโอกาส ขณะนี้เชียงใหม่คึกคักขึ้น โดยเห็นนักท่องเที่ยวขับรถมาเองมากขึ้น ในขณะที่เดินทางด้วยเครื่องบินยังไม่เข้าเป้า โดยนักท่องเที่ยวเมื่อมาเชียงใหม่แล้วไม่ได้อยู่ในเมือง อยู่ในเมืองแค่วันเดียวแล้วไปบนดอยเลยก็จะเป็น New normal ไปเลย

เช่นเดียวกับ นงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ นายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ จ.เชียงราย (สสทน.) กล่าวว่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวนิยมเปลี่ยนไปเป็นเที่ยวตามดอย นอนรีสอร์ท เหมือน Work vacation ทำงานไปด้วยเที่ยวไปด้วย เพราะช่วงนี้เป็นช่วงไฮซีซั่นของเชียงรายล่าสุดวันหยุดช่วงที่ผ่านมามียอดผู้เช้าพักกว่า 60 %

“มาตรการที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามา เราได้คุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดโดยจะนำเสนอ Sandbox ให้ format ทั้งหมดล้อกับเชียงใหม่ Charming Chiangmai เป็น Blooming Chiangrai เพราะเราอยากให้เป็น 1 system 1 province คือเชียงใหม่มาอย่างไร เชียงรายก็มาอย่างนั้น เงื่อนไขเหมือนกันไม่ว่าจะเป็น SOP, DNSEP ความพร้อมตอนนี้เราเตรียมเรื่องมาตรฐาน CHA ให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนเป็นช่วงกำลังดำเนินการ โดยเบื้องต้น จ.เชียงราย จะทำ Blue Zone 7อำเภอ ได้แก่ แม่สาย เทิง แม่สรวย แม่ฟ้าหลวง เชียงของ เชียงแสน และเมืองเชียงราย ตามที่ลูกค้านิยมและสอดรับกับช่วงไฮซีซั่น”

 

>> ดื่มสุราในร้าน เปิดสถานบริการ ข้อกังวลความเสี่ยงแพร่ระบาด

อีกประเด็นหนึ่งซึ่งยังเป็นข้อกังวลของผู้ประกอบการคือการอนุญาตให้นั่งดื่มสุราในร้านอาหารและการเปิดสถานปันเทิง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่ระบาดขึ้นได้อีก วิชุพรรณ ภูเก้าล้วน ศรีสัญญา นายกสมาคมโรงแรมจังหวัดกระบี่ มองว่า แม้จะเป็นเอื้อต่อบรรยากาศการท่องเที่ยว การพักผ่อนควบคู่กับการดื่มกิน แต่ในส่วนสถานบันเทิงอาจต้องพิจารณาเรื่องมาตรการอย่างเข้มงวดให้ชัดเจนเพราะอาจไม่ใช่แค่เรื่องการที่พนักงานในร้านและผู้มาใช้บริการได้รับวัคซีน แต่ยังมีประเด็นเรื่องของระยะห่างที่มีข้อจำกัดกี่ยวข้องด้วย

ฉลอง ลอยสมุทร เจ้าของร้านรื่นรมย์ที่ภูเก็ต ยอมรับเห็นด้วยกับการเปิดประเทศและคลายล็อกให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ไม่ควรผ่อนคลายมาตรการมากเกินไป อย่างการ swab แค่ครั้งเดียวหรือไม่จำกัดพื้นที่เลย เมื่อเทียบกับโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ที่มีการตรวจหาเชื้อเป็นระยะและจำกัดอยู่ในพื้นที่ 14 และลดเหลือ 7 วันตามลำดับ

“แม้ตัวเลขจากแซนด์บ็อกซ์จะบอกว่าพบผู้ติดเชื้อจากนักท่องเที่ยวในเปอร์เซ็นต์ที่น้อยแต่ก็มี ไม่มีอะไรการันตีว่านักท่องเที่ยวจะปลอดภัย 100 % และไม่มีโอกาสแพร่เชื้อ จึงควรคงมาตรการด้านความปลอดภัยไว้ด้วย เช่น การตรวจเชื้อซ้ำภายใน 14 วันหรือจำกัดพื้นที่ 7 วันหรือกี่วันตามความเหมาะสมแทนการไม่จำกัดเลยเพราะการตรวจครั้งแรกอาจยังไม่เจอก็ได้”

คนดังแห่งวงการเซิร์ฟและเซิร์ฟสเก็ต มองว่าหากผ่อนคลายเกินไปจนกลายเป็นความหละหลวม เกิดเป็นระลอก 5-6 จะยิ่งแย่และซ้ำเติมผู้ประกอบการลงไปอีก เป็นการเดิมพันที่อาจไม่คุ้มค่าเพราะการคาดหวังให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเยอะในช่วง 1-2 ปีนี้คงเป็นเรื่องยาก จึงอยากให้เน้นการท่องเที่ยวในประเทศด้วยเพราะช่วงก่อนสงกรานต์ที่นักท่องเที่ยวไทยคึกคักก็ช่วยได้มาก แต่ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขของความปลอดภัยคือการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึงและไม่หย่อนยานในเรื่องความปลอดภัยและการดูแลตัวเอง

ด้านพัลลภ แซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จ.เชียงใหม่ ให้ความเห็นว่าสถานบริการต้องเปิดแบบมีเงื่อนไข ซึ่งพื้นที่ซึ่งสถานการณ์ต่างกัน เงื่อนไขย่อมไม่เหมือนกัน จะใช้แบบเดียวกันไม่ได้

สถานการณ์โควิดเป็นสีแดงเข้มอาจไม่ให้เปิด หรือถ้าสีแดงจะให้บริการได้กี่คน สีเหลือง สีขาวจะทำได้แบบไหน ตอนนี้ยังไม่มีมาตรการจริงจังออกมา สถานบันเทิงจะยอมไหมให้ออนไลน์วงจรปิดแล้วลิงค์มาที่ศูนย์ควบคุมเหมือนที่เราติดตั้ง GPS รถโดยสารประจำทางถ้าความเร็วเกินกำหนดก็ต้องถูกลงโทษเพื่อควบคุมป้องกันอุบัติเหตุ สถานบันเทิงจะทำแบบนี้ได้หรือไม่ ยอมลิงค์วงจรปิดให้เห็นว่ามีการรักษาระยะห่าง เทคโนโลยีจะช่วยได้ ซึ่งเราก็รู้กันอยู่ว่าการวัดอุณหภูมิ ล้างมือก่อนเข้ามันไม่พอ มันต้องหาแนวปฏิบัติที่ชัดเจนแล้วสาธารณสุขรับได้ ถ้าจะให้เปิดอย่างถูกต้องเหมือนแซนด์บ๊อกซ์ ต้องเอาเทคโนโลยี วิธีคิดที่มีความเป็นไปได้มาคุยมาถก ระหว่างนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรมพ่อค้าประชาชน สาธารณสุข เพื่อหาทางออกร่วมกัน" ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จ.เชียงใหม่ กล่าว

 

>> หวั่นเปิดเพื่อปิด ซ้ำเติมผู้ประกอบการ

“คิดว่ามีระลอก 5 แน่นอน หลังจากประสบการณ์ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาเห็นแล้วว่ามีความเสี่ยงในการแพร่ระบาด เพราะส่วนใหญ่ยังใช้ชีวิตแบบประมาท สถานการณ์ในบ้านก็ยังไม่ดีมาก ความพร้อมของเราไม่เหมือนในต่างประเทศ เขามีการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ ต่างจากบ้านเราหลายพื้นที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเลย” จุฑามาศ ณ ตะกั่วทุ่ง เจ้าของร้านอาหารเรอดัง เขาหลัก จังหวัดพังงา กล่าวถึงนโยบายเปิดประเทศ

จุฑามาศ หวั่นว่าประกาศเปิดได้ไม่ทันไรอาจจะต้องปิดอีก ยิ่งเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการเช่นเธอหนักขึ้นไปอีก หลังจากระลอกล่าสุดต้องปิดร้านไป 1 เดือนเต็มในเดือนพ.ค. กลับมาก็ต้องลดเงินเดือน ลดพนักงานและเพิ่งเริ่มขยับดีขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทย

“ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับการเปิด แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องวัคซีน การบริหารจัดการ รวมถึงการความประมาทในการดูแลตัวเองของคนไทยบางส่วน ยังสร้างความเชื่อมั่นไม่ได้ แม้จะฉีดวัคซีนแล้วก็ยังติดได้ แพร่เชื้อได้ ไม่รู้ว่ารัฐบาลมีมาตรการรองรับอย่างไรหากเกิดการแพร่ระบาดขึ้น หากจะต้องปิดอีกจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ กลายเป็นว่าตอนนี้ไม่กล้าซื้อ ไม่กล้ากักตุนวัตถุดิบอะไรมากมาย เพราะกลัวสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ทำให้มีของขายไม่ครบ แต่ถ้ามีมาตรการรองรับชัดเจน มีแผนรับมือไม่ต้องลุ้นจะโดนปิดอีกก็จะดี”