มติการประชุมคณะกรรมการด้านวิชาการ ยืนยันสนับสนุนคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบการให้วัคซีนโควิด 19 สลับชนิด กรณีการฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 เป็น Sinovac ตามด้วยวัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2 ระยะห่าง 3-4 สัปดาห์ โดยจะจัดทำคู่มือแนวทางปฏิบัติ สำหรับหน่วยบริการต่างๆ เพื่อสื่อสารให้ประชาชนรับทราบ และมีการติดตาม ประเมินผลการให้วัคซีนแบบสลับชนิดอย่างเป็นระบบ พร้อมให้ข้อมูลแจงชัดกรณีคำเตือนองค์การอนามัยโลก

เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2564 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการจัดประชุมคณะกรรมการด้านวิชาการ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ครั้งที่ 23/2564 โดยมี ศ.นพ.สมหวัง ด่านชัยวิจิตร เป็นประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ ที่ประชุมประกอบด้วย ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล นพ.สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ผู้อำนวยการสถาบันชีววิทยาศาสตร์ทางการแพทย์กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ Dr.Renu Madanlal GARG Acting WHO Representative to Thailand

นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ตามที่การประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2564 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยกำหนดให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ได้รับวัคซีน Sinovac 2 เข็ม ให้ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น 1 เข็ม อาจเป็นวัคซีน AstraZeneca หรือวัคซีนชนิด mRNA อย่างน้อย 4 สัปดาห์หลังจากวัคซีน Sinovac เข็ม 2 และเห็นชอบการให้วัคซีนโควิด 19 สลับชนิด กรณีการฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 เป็น Sinovac ตามด้วยวัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2 ระยะห่าง 3-4 สัปดาห์ ซึ่งสามารถกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันให้สูงและเร็วขึ้น เพื่อให้การป้องกันและควบคุมโรคโควิด 19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อสถานการณ์ของโรค

แฟ้มภาพ

ศ.นพ.สมหวัง ด่านชัยวิจิตร ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ กล่าวว่า ผลการประชุมของคณะกรรมการด้านวิชาการ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ที่ประชุมยืนยันสนับสนุนมติที่ประชุมของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ซึ่งเห็นชอบการให้วัคซีนโควิด 19 สลับชนิด กรณีการฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 เป็น Sinovac ตามด้วยวัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2 ระยะห่าง 3-4 สัปดาห์ โดยจะจัดทำคู่มือแนวทางปฏิบัติ สำหรับหน่วยบริการต่างๆ เพื่อสื่อสารให้ประชาชนรับทราบ และมีการติดตาม ประเมินผลการให้วัคซีนแบบสลับชนิดอย่างเป็นระบบ ตามข้อคิดเห็นของผู้แทนองค์การ อนามัยโลก โดยยืนยันว่าการพิจารณานโยบายการให้วัคซีนโควิด 19 ดังกล่าว ใช้ข้อมูลผลการศึกษาวิจัยในประเทศไทยรองรับ และผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการด้านวิชาการฯ และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้

ในที่ประชุมได้มีการหารือเพิ่มเติมในประเด็นที่มีการเผยแพร่ข้อความและคลิปวีดิโอจากองค์การอนามัยโลก โดย Dr.Soumya Swaminathan หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ของ WHO โดยมีเนื้อความบางส่วนกล่าวว่า ประชาชนไม่ควรฉีดวัคซีนโควิด 19 โดยผสมสูตร เนื่องจากจะเกิดความวุ่นวาย หากประชาชนมีโอกาสเลือกตัดสินใจเอง ว่าจะฉีดวัคซีนเข็ม 2 เข็ม 3 และ 4 ได้เมื่อไหร่ และฉีดวัคซีนของผู้ผลิตรายใด แต่หน่วยงานสาธารณสุขสามารถดำเนินการได้ ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

แฟ้มภาพ

Dr.Renu Madanlal GARG Acting WHO Representative to Thailand ให้ความเห็นต่อประเด็นดังกล่าวว่า “องค์การอนามัยโลกไม่ได้มีข้อขัดแย้งต่อนโยบายของประเทศไทย เป็นการให้คำแนะนำในภาพรวม ถ้าหน่วยงานสาธารณสุขของแต่ละประเทศมีข้อมูลสนับสนุน การเลือกใช้วัคซีนแบบใดแบบหนึ่ง ขึ้นอยู่กับนโยบายและสถานการณ์การระบาด ของแต่ละประเทศ แต่ประชาชนไม่ควรตัดสินใจด้วยตนเอง ควรเป็นการตัดสินใจของหน่วยงานด้านสาธารณสุข สามารถทำได้หากอยู่บนพื้นฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ และมีข้อเสนอให้มีการติดตามประเมินผลอย่างเป็นระบบ รวมถึงการรวบรวมข้อมูลผลการศึกษา นอกจากนี้ยังให้ความเห็นว่า ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 ในผู้สูงอายุ และกลุ่มโรคเรื้อรังให้มากที่สุด”

ทั้งนี้ คณะกรรมการด้านวิชาการฯ มีข้อเสนอแนะให้มีการเก็บรวบรวมข้อมูล และนำผลการศึกษาวิจัยมาพิจารณาใช้ประโยชน์ต่อไป ซึ่งปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้ข้อมูลว่า มีความพร้อมในการสนับสนุนการวิจัย ทั้งในด้านการให้วัคซีน การติดตามการกลายพันธุ์ รวมถึงการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม