รองอธิบดีกรมควบคุมโรคเผยสถานการณ์ทั่วโลกระบาดโควิดแนวโน้มไม่ดีขึ้น ส่วนไทยค่อนข้างดี แต่ต้องไม่ประมาท ขณะที่แม่สอดเริ่มดีขึ้น ส่วนสมุย ติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเคสแหม่มติดโควิดใกล้ครบ เหลือ 2 คน กินข้าวร้านเดียวกัน ยังติดตามตัว คาดออกจากสมุยแล้ว

เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์โรคโควิด-19 ว่า ขณะนี้สถานการณ์ทั่วโลกระบาดแนวโน้มไม่ดีขึ้น มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมเมื่อหลายเดือนก่อนอัตราผู้ป่วยรายใหม่ต่อวันอยู่ที่ 2 แสน – 3 แสน ล่าสุด อัตราป่วยรายใหม่อยู่ที่ประมาณวันละ 4 แสนราย อัตราการเสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน เป็นวันละประมาณ 7 พันราย ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากสุด คือ สหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล และประเทศต่างๆ ในแถบยุโรป ซึ่งเป็นการระบาดระลอก 2 ที่รุนแรงกว่ารอบแรกมาก โดยบางประเทศยอมให้มีการติดเชื้อในจำนวนที่สามารถรับมือได้ เพื่อให้ประชาชนใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติ แต่มีบางประเทศที่เริ่มมีอัตราป่วยเกินศักยภาพของสถานพยาบาลรองรับ จึงอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับมาตรการรับมือ

สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยค่อนข้างดีมาก แต่ต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นที่ด่านพรมแดนที่ติดกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งยังพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเมียนมา ที่สถานการณ์ค่อนข้างชะลอตัว โดยสถานการณ์ที่อ.แม่สอด จ.ตาก หลังพบคนขับรถชาวเมียนมาติดเชื้อเข้ามาในไทย และติดตามสอบสวนโรค พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 5 รายตามที่รายงานไปก่อนหน้านี้นั้น จนถึงตอนนี้มีการตรวจค้นหาเชิงรุกกว่า 1 หมื่นราย วันนี้ตรวจเพิ่มอีก 1,000 คนไม่เจอผู้ติดเชื้อเพิ่มเติมดังนั้นสถานการณ์ตอนที่ที่แม่สอดถือว่าดีมาก และเริ่มเปิดพรมแดนอีกครั้ง

ขณะที่ความคืบหน้าการสอบสวนโรคที่เกี่ยวข้องกับกรณีหญิงฝรั่งเศสติดเชื้อโควิด และไปอยู่ที่เกาะสมุย จ. สุราษฎร์ธานี ที่ ตอนนี้สามารถติดตามผู้สัมผัสที่เกาะสมุยได้เกือบทั้งหมดแล้ว จากที่มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 46 คน และดำเนินการเก็บตัวอย่างไว้ทั้งหมด 41 คนผลเป็นลบทั้งหมด ยังเหลือคนขับแท็กซี่ 2 คนและคนที่ได้ไปเที่ยวบาร์แห่งเดียวกันกับผู้ป่วยอีก 3 คน ซึ่ง 1 รายพบตัวแล้วกำลังนำเข้าสู่การกักตัวและตรวจเชื้อ ส่วนอีก 2 คน ทราบว่าออกจากพื้นที่สมุยแล้ว อยู่ระหว่างติดตามว่าไปอยู่ที่ไหน อย่างไรก็ดีตอนนี้ผู้ที่สัมผัสผู้ป่วยที่เกาะสมุยนั้นถ้านับจำนวนวันแล้วก็ใกล้ครบ 14 วันแล้ว ในขณะที่กลุ่มเสี่ยงต่ำมีอยู่ 80 คนก็จะติดตามให้ครบและเฝ้าระวังต่อไปจนครบ 14 วัน

นพ.ธนรักษ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ประเทศไทยต้องมีการเปิดเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนประเทศ บนพื้นฐานของความปลอดภัย โดยกระทรวงสาธารณสุขพร้อมวางระบบควบคุมป้องกันโรคอย่างเข้มข้น ถ้าเจอผู้ป่วย 1 รายก็ต้องเข้าไปรวบคุมโรคให้เร็ว และละเอียด แต่ต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ในการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมป้องกันโรคอย่างเข้มข้น ทั้งการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า การเว้นระยะห่าง การล้างมือบ่อยๆ และใช้ช้อนกลางส่วนตัว ซึ่งการที่เราจะเปิดการที่เราคงมาตรการควบคุมโรคด้วยการขอความร่วมมือจะกระทบกับชีวิต สังคม เศรษฐกิจน้อยมาก แต่หากเราไม่ร่วมมือแล้วเกิดการระบาดต้องมีการปิดสถานที่นั่น ที่นี่ จะมีผลกระทบมากกว่า

ได้แล้วครับ