16 เมษายน 2563 วันนี้ตัวเลขคนติดเชื้อโรค COVID-19 รายใหม่ค่อนข้างคงที่ มี 29 คน รวมแล้วมีเคสสะสมทั้งสิ้น 2,672 คน

ส่วนใหญ่ติดเชื้อมาจากการไปใกล้ชิดกับคนที่เป็นโรค

ดีใจที่ไม่มีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อเพิ่ม

แต่จะดีใจที่สุด หากไม่มีใครติดเชื้อเพิ่มเลย

แม้ตอนนี้จะเป็นไปได้ยาก แต่ด้วยความพยายามของคนทั่วโลก ยารักษาและวัคซีนป้องกันก็น่าจะออกมาได้ในอนาคต

ในขณะที่เป็นช่วงเวลารอยาและวัคซีน เราทุกคนก็ต้องยึดกับอาวุธป้องกันตัวเท่าที่มีอย่างเต็มที่ คือ "อยู่บ้านนิ่งๆ อยู่กับที่ ตะลอนออกน้อยๆ ใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อยๆ และอยู่ห่างจากคนอื่น"

ถ้าเสี่ยง หรือมีอาการน่าสงสัย ก็ควรไปปรึกษาหรือตรวจให้แน่ใจ

...ป้องกันตนเอง และรีบตรวจหาเมื่อสงสัย..

เหล่านี้คือสิ่งที่เราพอจะทำได้ และยืนยันว่าได้ผลจริงในสงคราม COVID-19 นี้

ขอเพียงให้เรามีกำลังใจ ทำกันอย่างเต็มที่ พร้อมเพรียง และต่อเนื่อง

ยามใดที่เหนื่อยและท้อ ก็ให้กำลังใจ ช่วยเหลือกันและกัน นี่คือจุดแข็งของมนุษย์เรา และทำให้เราอยู่รอดได้มาตลอด

ดูตามกราฟ เราจะสามารถกดการระบาดจาก 33% มาเหลือ 8% ได้ในวันที่ 21 เมษายนนี้

แต่สิ่งที่ควรมุ่งเป้าคือ กดให้ลงไปแตะ 5% ให้ได้

ถ้าจำนวนเคสรายใหม่ต่อวันไม่เกิน 31 ราย เราจะสามารถแตะเส้น 5% ได้ในวันที่ 15 พ.ค.2563 ซึ่งจะทำให้ไทยเรามีความมั่นใจในการปรับแผนการดำเนินชีวิตได้มากขึ้น

สิ่งสำคัญที่รัฐบาลควรพิจารณาให้ดีคือ ต้องระมัดระวัง อย่าประมาท ยังไม่ควรผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดในตอนนี้ เพราะกลุ่มเสี่ยงที่สำคัญมาก 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่ติดเชื้อจากคนที่รู้จักกันและสมาชิกในครอบครัวยังเป็นกลุ่มหลักที่ทำให้เกิดการติดเชื้อรายใหม่จำนวนมากทุกวัน และกลุ่มที่เดินทางจากต่างประเทศที่มีสัดส่วนการติดเชื้อสูงมาก

ตราบใดที่ยังคุมกลุ่มแรกได้ไม่ดี สถิติรายใหม่จากกลุ่มนี้ยังไม่ลดลง หากปล่อยให้ดำเนินชีวิตแบบปกติเมื่อใด จะมีโอกาสเกิดการระบาดจำนวนมากตามมาได้ในเวลาถัดจากนั้นไม่นาน

นี่คือสิ่งที่ต้องระวังอย่างยิ่ง

ถามว่าแล้วจะผ่อนปรนได้บ้างไหม? เมื่อไหร่ดี?

ความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนต่อไปนี้

หนึ่ง ในพื้นที่นั้นตรวจคนที่สงสัยว่าจะติดเชื้อแล้วพบว่าอัตราการติดเชื้อจริงน้อยกว่า 0.5-0.75%

สอง พื้นที่นั้นต้องมีหน้ากาก เจลแอลกอฮอล์ อย่างเพียงพอ ทั่วถึง และมีกฎกติกาที่เคร่งครัดในการใช้ชีวิตของประชาชนในการติดต่อ ซื้อขายสินค้าบริการ โดยสามารถบังคับใช้กฎหมายได้มีประสิทธิภาพ

สาม คนที่ออกมาใช้ชีวิตเต็มใจ และพร้อมใจกันที่จะใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือเป็นประจำ และอยู่ห่างกัน

สี่ ระบบบริการตรวจคัดกรองการติดเชื้อสามารถเข้าถึงได้โดยง่าย เพียงพอ มีประสิทธิภาพ

และสุดท้ายคือ มีการออกแบบรูปแบบการดำเนินการของแต่ละกิจการหรือแต่ละอาชีพ/วิชาชีพ อย่างเป็นมาตรฐาน มีขั้นตอนปฏิบัติที่ชัดเจน และสามารถตรวจสอบ ติดตามได้ โดยหากไม่ปฏิบัติตาม ต้องมีบทลงโทษที่สามารถบังคับใช้ได้อย่างทันท่วงที

เหล่านี้คือสิ่งที่รัฐควรเตรียม ก่อนจะประกาศปรับเปลี่ยนมาตรการ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระบาดซ้ำจนยากต่อการกลับมาควบคุมครับ

#อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ

#StayHome #อยู่บ้านกันนะครับ

#โรคติดต่อจะไม่ติดต่อถ้าเราไม่ติดต่อกัน

#ช่วยเหลือกันและกัน

เป็นกำลังใจให้ทุกคน...

โดย รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ รศ.ดร.พญ.ภัทรวัณย์ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล