...“บิ๊กตู่” กำชับ “ศูนย์โควิด-19” เตรียมรับมือการแพร่ระบาดระยะ 3 ลั่นพร้อม “ปิดเมือง” หากสถานการณ์รุนแรงเทียบ “อู่ฮั่น”...

นายกคงเข้าใจผิดแล้วกระมัง

การปิดเมือง ไม่ได้เป็นมาตรการที่ใช้ตอนที่เกิดสถานการณ์วิกฤติแบบนั้น แต่ใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤติครับ

ธรรมชาติของการระบาดนั้น

ระยะที่ 1: มีคนติดเชื้อจากข้างนอกมาสู่พื้นที่ของเรา

มาตรการที่ควรใช้คือ การทำ containment ปิดกั้นไม่ให้เข้ามา เช่น การระงับการเดินทางของคนจากพื้นที่เสี่ยงเข้ามาในประเทศเรา

แต่พวกท่านเลือกที่จะไม่แบน

ระยะที่ 2: คนที่ติดเชื้อได้แพร่ให้คนของเรา

มาตรการที่ควรใช้คือ การตรวจจับคนติดเชื้อให้ได้และนำไปกักกัน เพื่อแยกออกจากคนในสังคม (Isolation) และการนำคนที่มีประวัติไปสัมผัสกับคนที่ติดเชื้อ ไปกักกันเพื่อเฝ้าระวังจนกว่าจะพ้นระยะฟักตัวของโรค (Quarantine)

มาตรการทั้งสองนั้น พวกท่านก็พยายามทำ แต่ก็ทำได้ไม่มีประสิทธิภาพ เพื่อเลือกที่จะใช้วิธีคัดกรองด้วยการวัดไข้ ซึ่งไม่มีความไวเพียงพอ ทำให้มีเคสหลุดรอดไปได้

มาตรการอีกอย่างที่มักทำในระยะที่ 2 คือ การปิดพื้นที่เสี่ยง เช่น สถานศึกษา สถานบันเทิง ที่มีคนติดเชื้อ...แต่ไทยเราเพิ่งเลือกมาใช้ตอนสถานการณ์เป็นระยะที่ 3

ระยะที่ 3: คนในพื้นที่ของเราได้แพร่ไปให้แก่กันและกัน ขยายวงไปเรื่อย ๆ ดังเช่นปัจจุบัน

มาตรการที่ต้องรีบทำเมื่อเริ่มเห็นว่าเข้าระยะที่ 3 นี้คือ ปิดประเทศ ปิดเมือง เพื่อไม่ให้คนติดเชื้อใหม่จากข้างนอกเข้ามา และไม่ให้คนติดเชื้อของเราออกไปแพร่ให้ประเทศอื่น ร่วมกับการให้คนในประเทศพยายามอยู่ในบ้าน ไม่เดินทางพร่ำเพรื่อ สังเกตอาการตนเองและครอบครัว เพราะเชื้อมีอยู่ทั่วไป มีโอกาสติดได้เสมอ

หากรีบทำดังกล่าว จะช่วยตัดวงจรของการระบาดได้ โดยระยะเวลาของการปิดประเทศ ปิดเมือง และฟรีซอยู่ในบ้านนั้น ควรมีระยะเวลาอย่างน้อยเท่ากับระยะฟักตัวบวกระยะเวลาที่สามารถแพร่เชื้อได้

สำหรับ COVID-19 คือ 5+10 วัน หรือเท่ากับราว 2 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย

ถ้าไม่ทำ ก็แปลได้ว่า เตรียมตัวเตรียมใจรับการระบาดวงกว้างได้เลย

และที่สำคัญคือ พอเข้าระยะที่ 3 แล้ว ไม่ต้องไปพยายามรณรงค์ให้ไปตรวจคัดกรองด้วยวิธีใด ๆ อีก และมาตรการอย่างการกักกันทั้งแบบ isolation และ quarantine เล็ก ๆ นั้นจะไม่ได้ผลอีกต่อไปครับ

...ช่วงเวลาทองของประเทศดูเหมือนจะผ่านไปแล้วตั้งแต่ตอนที่ตัวเลขสะสมแตะเลยเลข 200 ไป...

เนื่องจากกราฟที่เปรียบเทียบจำนวนเคสของแต่ละประเทศทั่วโลกนั้นบอกเราได้ว่า หากตัวเลขแตะ 100 เคส หากออกมาตรการที่จริงจังเข้มงวดเด็ดขาด จะมีโอกาสทำให้การระบาดช้าและลดลงได้ ดังเช่นที่ปรากฏในฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น

แต่ของเรา เลือกใช้มาตรการหน่อมแน้ม ทำให้ตัวเลขเพิ่มจาก 114 ไปเป็น 212 เคส ภายใน 3 วัน

กราฟจำนวนเคสจึงมีความชันเหมือนประเทศกลุ่มยุโรปไปแล้ว เช่น สวิส ฝรั่งเศส เบลเยียม

เราจึงต้องเตรียมรับมือโรคระบาดที่กำลังจะถาโถมมาได้ในเวลาอันใกล้

โดย รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย