เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เกิดการระบาดของโรคหัดขึ้นในประเทศคอสตาริกา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นคอสตาริกาไม่เคยมีผู้ป่วยโรคหัดแม้แต่รายเดียวมาเป็นเวลา 5 ปี
การแพร่กระจายโรคเริ่มต้นจากเด็กชายชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง ซึ่งเด็กคนนี้ไม่ได้ฉีดวัคซีนโรคหัดเนื่องจากพ่อแม่ปฏิเสธการรับวัคซีนด้วยเหตุผลเรื่องความเชื่อทางศาสนา
นี่เป็นอีกกรณีหนึ่งของผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนที่ควรได้รับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่ากลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านวัคซีน (anti-vaccine movement)
กลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านวัคซีนไม่ใช่ขบวนการที่สร้างขึ้นมาอย่างเป็นระบบ แต่เป็นคำเรียกรวม ๆ ของกลุ่มคนที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีน ซึ่งอาจมีเหตุผลได้ต่าง ๆ นา ๆ เช่น ความเชื่อทางศาสนา ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวัคซีน เช่นการที่วัคซีนทำให้เกิดโรคออทิสติก แนวคิดธรรมชาติบำบัด (naturopathy) หรือแม้กระทั่งผู้ที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิด
ความน่าเศร้าในเรื่องนี้ก็คือปัญหาแบบที่เกิดในคอสตาริกาไม่ได้เป็นเรื่องประหลาด แต่เป็นแค่เหตุการณ์หนึ่งในบรรดาเหตุการณ์จำนวนมากทั่วโลกที่มีลักษณะคล้ายกัน หลายประเทศมีรายงานการระบาดของโรคที่ควรจะป้องกันได้ด้วยวัคซีนอย่างเช่นโรคหัด แม้กระทั่งในประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีทรัพยากรและการเข้าถึงวัคซีนไม่ใช่ปัญหา อย่างเช่นสหรัฐอเมริกาและอิตาลี
นี่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ และไม่ใช่สิ่งที่ประเทศไทยควรจะนิ่งนอนใจ เพราะในประเทศไทยเองก็มีปัญหาในลักษณะนี้แล้วเช่นกัน แม้ว่าจะยังจำกัดอยู่แค่ในบางพื้นที่ก็ตาม แต่การนิ่งเฉยในเรื่องนี้ก็อาจทำให้ปัญหาขยายตัวไปมากขึ้นจนกลายเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขได้
มนุษย์ทุกคนล้วนมีสิทธิที่จะเชื่อในสิ่งที่ตนอยากเชื่อ แต่การปล่อยให้ความเชื่อส่วนบุคคลมาสร้างอันตรายต่อสาธารณะนั้นไม่ใช่เรื่องที่สังคมจะยอมรับได้ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลและองค์กรที่เกี่ยวข้องอย่างเช่นสภาวิชาชีพทางสุขภาพย่อมต้องมีหน้าที่ในการป้องกันไม่ให้แนวคิดต่อต้านวัคซีนลุกลามจนกลายเป็นปัญหาทางสาธารณสุขของประเทศได้
นอกจากนี้การฉีดวัคซีนยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะค่าวัคซีนนั้นถูกกว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและการควบคุมการระบาดของโรคอย่างมาก มีการรายงานกรณีของผู้ป่วยรายหนึ่งซึ่งไม่ฉีดวัคซีนบาดทะยัก และเมื่อผู้ป่วยรายนี้ป่วยเป็นโรคบาดทะยักก็ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพทั้งหมด 8 แสนเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 25 ล้านบาท ทั้งที่ค่าวัคซีนนั้นอยู่ที่ 64 เหรียญสหรัฐ หรือแค่ประมาณ 2,000 บาทเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้จึงควรมีการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติโรคระบาด เพื่อให้การรับวัคซีนพื้นฐานเป็นหน้าที่พลเมืองตามกฎหมาย กล่าวคือหากผู้เยาว์ได้รับวัคซีนพื้นฐานไม่ครบถ้วน ให้ถือว่าผู้ปกครองมีความผิด ซึ่งแม้จะฟังดูน่ากลัว แต่ก็เป็นกฎหมายลักษณะเดียวกันกับพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ.2545 ซึ่งระบุว่าผู้ปกครองย่อมมีความผิดหากผู้เยาว์ที่อยู่ในการปกครองของตนไม่ได้รับการศึกษาภาคบังคับ
บทลงโทษนี้อาจไม่จำเป็นต้องรุนแรง แต่ต้องทำให้ทั่วถึงและชัดเจนเพื่อเป็นการส่งสารให้สังคมรับรู้โดยทั่วกันว่าการรับวัคซีนพื้นฐานเป็นเรื่องจำเป็น เช่นอาจกำหนดให้ผู้ปกครองต้องแสดงหลักฐานการรับวัคซีนต่อโรงเรียนเพื่อที่จะได้รับเงินอุดหนุนการศึกษาจากรัฐบาล หากไม่มีการแสดงหลักฐานแล้วผู้ปกครองจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบางส่วนด้วยตนเอง เป็นต้น
ข้อกำหนดนี้ควรครอบคลุมวัคซีนพื้นฐานที่ป้องกันโรคระบาดได้กว้างขวางและมีผลเสียร้ายแรง เช่น หัด คางทูม หรือโปลิโอ แต่ไม่รวมถึงวัคซีนเสริม เช่น เอชพีวีหรือโรคสุกใส เพราะโรคเหล่านี้มักไม่เกิดการระบาดอย่างกว้างขวาง หรือเป็นโรคที่ไม่รุนแรง
และในขณะเดียวกันก็ควรดำเนินการให้ความรู้ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบสาธารณสุขเพื่อให้มั่นใจได้ว่าประชาชนทั้งหมดสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ รวมทั้งให้มีการรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้และสร้างเจตคติว่าการฉีดวัคซีนเป็นความรับผิดชอบที่สมาชิกในสังคมทุกคนพึงปฏิบัติเพื่อสร้างเสริมสุขภาพและความปลอดภัยให้กันและกัน
ประเทศที่ให้ความสำคัญและเข้มงวดกับเรื่องนี้ก็จะป้องกันปัญหานี้ได้แต่เนิ่น ๆ เช่น คอสตาริกา ในทางกลับกันประเทศที่วางเฉยและปล่อยให้ผู้คนเลือกทำอย่างที่ตนเองอยากทำ ก็จะเจอกับปัญหาทางสาธารณสุขที่ลุกลามใหญ่โตจนควบคุมไม่ได้ เช่น สหรัฐอเมริกา และอิตาลี
อย่าปล่อยให้ประเทศไทยเป็นแบบนั้น
ผู้เขียน : นพ.อธิพงศ์ พัฒนเศรษฐพงษ์
- 397 views