“ตอนตรวจพบทีแรกก็กลัว นอนเอามือก่ายหน้าผาก ใจหายไปหมด ไม่รู้แล้วว่าต้องทำยังไง หมอบอกให้ผ่าตัด ก็ปรึกษากับลูกหลาน เขาก็บอกให้เชื่อหมอ พอผ่าแล้วก็หาย โชคดีที่ตรวจพบก่อนตั้งแต่ระยะแรก จึงรักษาหาย วันที่ตรวจ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองป่วย แต่ถ้ารอให้ถึงวันที่โรคแสดงอาการ ก็ไม่รู้ชีวิตจะเป็นอย่างไร คนในหมู่บ้านของฉันอีก 6คนที่หมอมาตรวจ และนัดให้ไปผ่าแต่ไม่ยังไปตอนนี้เสียชีวิตไป 2 คนแล้ว และเป็นเพื่อนของฉันด้วย นางสมัน ชุมทอก ชาวบ้านดอนช้าง จังหวัดขอนแก่นเล่าเหตุการณ์ช่วงที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งท่อน้ำดี
ยายสมัน เป็นหนึ่งในผู้ป่วยกรณีศึกษาที่ทีมแพทย์ได้เข้าไปตรวจโดยใช้เครื่องอัลตราซาวด์ ภายใต้โครงการการประยุกต์ใช้ตัวบ่งชี้ชีวภาพเพื่อตรวจคัดกรองโรคระบบท่อน้ำดีและตับในผู้ติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับในพื้นที่เสี่ยงของโรคมะเร็งท่อน้ำดีในจังหวัดขอนแก่น หลังจากทีมแพทย์ในภาคอีสานได้ใช้เวลาสู้รบมาอย่างยาวนานกับโรคมะเร็งท่อน้ำดี ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนอีสาน ก็พบว่าการอัลตราซาวด์ เพื่อตรวจให้พบมะเร็งในระยะเริ่มต้นอย่างเช่นยายสมัน ก็จะทำให้ผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีมีโอกาสหายมากกว่า หากได้เข้ารับการรักษา
รศ.นพ.ณรงค์ ขันตีแก้ว
มะเร็งท่อน้ำดี จากที่เคยพูดกันว่า ผ่าก็ตาย ไม่ผ่าก็ตาย กันมาหลายปี แต่ปัจจุบันนี้มะเร็งท่อน้ำดีรักษาให้หายขาดได้ถ้าพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ข้อมูลจาก รศ.นพ.ณรงค์ ขันตีแก้ว หัวหน้าโครงการแก้ไขปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ โครงการ CASCAP ให้ข้อมูลว่า เกือบ 20 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 พบว่าการรักษาโรคมะเร็งท่อน้ำดีมีการพัฒนาที่ดีขึ้น การวินิจฉัยโรคทำได้ดีขึ้น มีความก้าวหน้าของรังสีวินิจฉัยมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้อัลตราซาวด์ (ultrasonography) การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed tomography scan; CT) และการทำเอ็มอาร์ไอ (Magnetic resonance imaging; MRI) มีการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยก่อนและหลังการผ่าตัด ประกอบกับเทคนิคด้านการให้ยาสลบที่ดีขึ้นมาก และที่สำคัญคือเทคนิคการผ่าตัดก็มีการพัฒนามากขึ้นเป็นลำดับ ทำให้ผู้ป่วยเสียเลือดน้อยลง อัตราการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดลดลง ทำให้ผลการรักษาผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีโดยการผ่าตัดดีขึ้นมาก
ทางการแพทย์ตัดสินจากอะไร ว่าหายจากโรคมะเร็ง
หากคุณเป็นโรคมะเร็ง และระหว่างการรักษา คุณมีชีวิตอยู่รอด สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ ทำงานได้ เดินทางได้ ท่องเที่ยว กินอิ่ม นอนหลับ หัวเราะ ยิ้ม ให้กับโลกใบนี้ได้อย่างสะดวกโยธินยาวนานติดต่อกันถึง 5 ปี ในทางการแพทย์จะถือว่าคุณหายจากโรคมะเร็งแล้ว ซึ่งข่าวดีของโรคมะเร็งท่อน้ำดี ที่ก่อนหน้านี้นับเป็นโรคที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ คือตัวเลขสถิติทางการรักษาด้วยการผ่าตัดผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีในระหว่างปี พ.ศ. 2548 – 2552 ถูกรายงานเป็นครั้งแรกว่า มีอัตราการรอดชีวิตหลังการผ่าตัดไปแล้ว 5 ปีเฉลี่ยสูงถึง 21% และในปี 2554 เพิ่มขึ้นเป็น 47% ซึ่งจากเดิมมักตายเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
ผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีที่แสดงอาการ ยังรักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัด
ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งท่อน้ำดี เรามักสังเกตว่ามีภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง ตับโต เนื่องจากมีก้อนมะเร็งขยายขนาดและมีการอุดตันของท่อน้ำดี การรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเหล่านี้ทำได้ด้วยการผ่าตัด และแพทย์สามารถรักษาให้หายขาดได้ถึง 20% แต่การผ่าตัดผู้ป่วยกลุ่มนี้ในแต่ละครั้งกินเวลายาวนานถึง 6 - 9 ชั่วโมง และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงถึงรายละกว่า 300,000 บาท ดังนั้นแพทย์ 1 คน จึงสามารถผ่าตัดผู้ป่วยโรคมะเร็งท่อน้ำดีได้เต็มที่ 300 กว่ารายภายในหนึ่งปี โดยที่ต้องใช้เวลาจดจ่ออยู่กับการผ่าตัดโรคนี้อย่างมาก ร้ายลึกลงไปกว่านั้น แพทย์ที่เชี่ยวชาญการผ่าตัดมะเร็งท่อน้ำดีก็มีจำนวนไม่มาก แต่อย่างไรก็ตามข่าวดีที่ได้จากการศึกษาวิจัยของโครงการ CASCAP ที่ผ่านมาพบว่า หากผู้ป่วยตรวจพบก่อน และมารับการรักษาในระยะเริ่มต้น ซึ่งใช้เวลาผ่าตัดเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น มีโอกาสหายขาดได้ถึง 60% และเสียใช้ค่าจ่ายในการรักษาถูกกว่ามาก
ทำอย่างไรผู้ป่วยจึงจะรู้ตัวว่าเป็นโรคมะเร็งท่อน้ำดีตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
ปัจจุบันนี้ แพทย์สามารถใช้อัลตราซาวด์บริเวณตับในการตรวจคัดกรองมะเร็งท่อน้ำดีในระยะเริ่มต้นได้ โดยแพทย์จะสามารถมองเห็นก้อนมะเร็งหรือเห็นลักษณะของท่อน้ำดีขยายตัว บ่งบอกถึงความผิดปกติที่อาจหมายถึงมะเร็งท่อน้ำดีได้ ทั้งนี้ผู้ป่วยที่ถูกสงสัยว่าอาจจะเป็นมะเร็งท่อน้ำดี จะได้รับคำแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยยืนยันด้วย CT หรือMRI อีกครั้งก่อนที่จะเข้ารับการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด หรือ ให้ยาเคมีบำบัด ต่อไป
การใช้อัลตราซาวด์เพื่อค้นหากลุ่มเสี่ยงโรคมะเร็งท่อน้ำดี
เมื่อไม่นานมานี้ มีรายงานวิจัยชิ้นสำคัญเกี่ยวกับการใช้อัลตราซาวด์ ในการตรวจหา เนื้อเยื่อพังผืดรอบๆท่อน้ำดี หรือ Periductal fibrosis (PDF) ซึ่งเป็นรอยโรคที่เกิดจากการอักเสบแบบเรื้อรังอันเนื่องมาจากการติดพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งจัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดี ขณะนี้แพทย์จึงใช้การตรวจดังกล่าวนี้ เป็นตัวบ่งชี้ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งท่อน้ำดี ดังนั้นการตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้อง สามารถใช้วินิจฉัยกลุ่มเสี่ยงโรคมะเร็งท่อน้ำดีระยะเริ่มต้นได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการนำไปสู่การเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงด้วยการตรวจอัลตราซาวด์ทุก ๆ 6 เดือน หากมีการดำเนินของโรคไปเป็นมะเร็งท่อน้ำดีระยะเริ่มต้น (ซึ่งจะใช้เวลา 5-10 ปี) ก็จะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที และมีโอกาสหายขาดได้สูง เทคโนโลยีนี้จึงได้ถูกนำมาใช้ในการพัฒนาระบบสุขภาพเพื่อตรวจคัดกรอง เฝ้าระวังและรักษาโรคมะเร็งท่อน้ำดีที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับในเวลาต่อมา
ในอดีตผู้ป่วยโรคมะเร็งท่อน้ำดีส่วนใหญ่ที่มารับการรักษามักจะมาในระยะที่ลุกลามและแพร่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียงมากแล้ว ซึ่งโอกาสในการรักษาในระยะนี้ถือว่าแทบจะเป็นศูนย์ เฉกเช่นเดียวกับโรคมะเร็งอื่น ๆที่อยู่ในระยะแพร่กระจาย จึงมีคำกล่าวว่า “มะเร็งท่อน้ำดี รักษาก็ตาย ไม่รักษาก็ตาย” ดังนั้นการพัฒนาวิธีการผ่าตัด การดูแลผู้ป่วยหลังการผ่าตัด รวมถึงการพัฒนาวิธีการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยผู้ที่เป็นโรคมะเร็งท่อน้ำดีในระยะเริ่มต้นเพื่อนำไปสู่การรักษาและเฝ้าระวังโรคจึงมีความสำคัญในการทำควบคู่กันไปเพื่อป้องกันและรักษาโรคนี้ให้หายไปจากสังคมไทยในที่สุด
- 6396 views