ปลัด สธ.เผย คนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจเพิ่มขึ้น ปี 56 ยอดตายกว่า 50,000 คน เฉลี่ย  6 คน ในทุก1ชั่วโมง เหตุการป่วยเกือบ100% เป็นผลมาจากโรคที่เกิดจากวิถีชีวิต ชี้ 4โรค เป็นตัวเร่งสำคัญ "เบาหวาน-ความดัน-ไขมันในเลือด-ความอ้วน"

29 ก.ย.57 นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในวันที่ 29 กันยายนทุกปี สมาพันธ์หัวใจโลก กำหนดให้เป็นวันหัวใจโลก (World Heart Day) เพื่อให้ทุกประเทศรณรงค์ให้ความรู้ประชาชน ตระหนักและเร่งป้องกันปัญหาโรคหัวใจ เนื่องจากเป็นสาเหตุการป่วยและการเสียชีวิตของประชากรก่อนวัยอันควร มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก

โดยองค์การอนามัยโลกรายงานปีละประมาณ 17 ล้านคน หากไม่เร่งป้องกันแก้ไข คาดว่าในปี 2573 หรือในอีก 16 ปี จะมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เพิ่มเป็น 23 ล้านคน โดยในปีนี้ได้กำหนดคำขวัญการรณรงค์ว่า"ประสานด้วยใจ เดินหน้าไปกับโลกสากล เพื่อยังผลให้ หัวใจแข็งแรง" (Join the global movement for better heart-healthy choices… wherever you live, work and play #heart choices) เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมเคลื่อนไหวในหลายภาคส่วนทั่วโลก ก้าวสู่การเป็นสากล เพื่อให้ประชาชนในประเทศ มีทางเลือกที่ดีขึ้น ในการดูแลสุขภาพหัวใจ ในทุกๆ สถานที่ ทั้งในที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ

นายแพทย์ณรงค์ กล่าวว่า หัวใจเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักตลอด24ชั่วโมง ทำหน้าที่ในการส่งเลือดผ่านไปทางหลอดเลือด เพื่อไปเลี้ยงอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย รวมทั้งเลี้ยงที่หัวใจด้วย หากมีหลอดเลือดใดหลอดเลือดหนึ่ง มีปัญหาเชื่อมโยงกัน คือ อวัยวะปลายทางขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง และหัวใจทำงานหนักขึ้น เกิดปัญหาหัวใจวาย และเสียชีวิต ส่วนใหญ่การป่วยและเสียชีวิตจากโรคนี้ มักเป็นอย่างฉุกเฉิน ไม่รู้ตัวมาก่อน สำหรับสถานการณ์โรคหัวใจของประเทศไทย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นใน พ.ศ. 2556 มีผู้เสียชีวิต 54,530 คน เฉลี่ยวันละ 150 คน หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน อัตราการป่วยต่อประชากรทุก1แสนคน ในปี 2555 เท่ากับ 427 คน เพิ่มจากปี 2547 ซึ่งมีอัตราการป่วยเท่ากับ185คน

กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งแก้ไขปัญหาเน้นให้ทุกจังหวัด รณรงค์ปรับพฤติกรรมสุขภาพประชาชน ป้องกันการป่วย และจัดบริการรักษาพยาบาลผู้ที่ป่วยแล้วโดยให้ทุกเขตสุขภาพตั้งศูนย์เชี่ยวชาญโรคหัวใจ สามารถให้การรักษา ทั้งด้วยยา การผ่าตัด และขยายการให้ยาละลายลิ่มเลือดถึงโรงพยาบาลระดับอำเภอ เพื่อให้ประชาชนได้รับการช่วยเหลือขั้นต้นได้อย่างทันท่วงที ก่อนนำส่งรักษาต่อยังโรงพยาบาลใหญ่เป็นการลดการเสียชีวิตของผู้ป่วยและมีบริการการแพทย์ฉุกเฉิน โดยประชาชนทุกพื้นที่ สามารถโทรขอความช่วยเหลือได้ที่หมายเลข 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง

ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผลงานการศึกษาวิจัยทั่วโลก ยืนยันตรงกันว่า สาเหตุการป่วยโรคหัวใจในขณะนี้ เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ และเป็นผลมาจากโรคที่เกิดจากวิถีชีวิตและพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ถูกต้องและมี 4โรค เป็นตัวเร่งสำคัญได้แก่โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงไขมันในเลือดสูงและความอ้วน ซึ่งล้วนเป็นโรคที่มีผลต่อหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว หรือหลอดเลือดตีบตันแคบ โดยพฤติกรรมที่จัดว่าเสี่ยงที่จะก่อโรค 4โรค ได้ง่ายๆ ได้แก่การรับประทานที่มากเกินพอดี ไม่สมดุล รับประทานอาหารรสหวาน มัน เค็มรับประทานผักผลไม้น้อย ใช้เครื่องอำนวยความสะดวกมากขึ้น ไม่ออกกำลังกาย การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า ในกลุ่มผู้ที่ป่วยจาก4โรค ซึ่งคาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า10ล้านคน ขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งการกินยาควบคุมอาการ การลดกินอาหารหวานจัด อาหารรสมัน หรือเค็ม งดดื่มเหล้า งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพบแพทย์ตามนัด เพื่อป้องกันการเกิดโรคหัวใจ รวมทั้งโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่มีโอกาสเกิดได้ เช่น โรคหลอดเลือดสมองตีบ หรือแตก โรคไตวาย ส่วนประชาชนที่ยังมีสุขภาพปกติขอให้เน้นการป้องกันสามารถเริ่มปฏิบัติตั้งแต่อายุ 6ปีขึ้นไปจนถึงสูงอายุคือ

1.ออกกำลังกายทุกวัน อย่างน้อยวันละ30นาที ซึ่งจะมีผลดี จะช่วยควบคุมน้ำหนัก สลายไขมันส่วนเกิน และสลายความเครียด ทำให้อารมณ์ดี นอนหลับสนิท

2.ชั่งน้ำหนักตัวทุกวันตอนเช้าก่อนรับประทานอาหาร เพื่อประเมินน้ำหนักตัวเอง

3.รับประทาน อาหารที่มีน้ำตาล เกลือ ไขมันต่ำ เพิ่มการกินผัก ผลไม้ให้ได้วันละครึ่งกิโลกรัม หรือให้ได้ครึ่งหนึ่งของอาหารแต่ละมื้อ ตามสูตรผักครึ่งหนึ่ง อาหารครึ่งหนึ่ง

4.งดและลดการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด

5.ตรวจสุขภาพปีละ 1 ครั้ง เพื่อคัดกรองหาความผิดปกติของระบบต่างๆ ในร่างกาย หากประชาชนทุกคนปฏิบัติตามคำแนะนำได้ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ความอ้วน และโรคหัวใจ จะน้อยลง หรือแทบไม่มีเลย

ทั้งนี้ สัญญาณของอาการโรคหัวใจได้แก่ 1.เหนื่อย แน่นและเจ็บหน้าอก ซึ่งเป็นอาการที่พบได้มากที่สุด 2.นั่งพักแล้ว อาการที่กล่าวมายังไม่ดีขึ้นและเป็นมากขึ้น 3.กรณีในผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจแล้ว ใช้ยาอมใต้ลิ้นแล้วอาการไม่ดีขึ้นและ 4.มีอาการอื่นๆร่วมด้วยอาทิ คลื่นไส้ อาเจียน ใจสั่นหายใจไม่อิ่มหากมีอาการที่กล่าวมา ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันทีประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข หมายเลข 1422