สธ. แนะคนไทยฝึกสมาธิเป็นประจำ มีผลช่วยทำให้สุขภาพจิตดี เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ป้องกันโรคหัวใจ ลดความดันโลหิต ลดระดับน้ำตาล กระตุ้นให้ร่างกายทำลายเซลล์ที่มีปัญหาและเซลล์มะเร็งอีกด้วย พร้อมจับมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล ดำเนินงานสมาธิบำบัดในโรงพยาบาลในสังกัดให้ครบทุกแห่งทั่วประเทศ ภายในปี 2558 เพื่อขยายผลให้ผู้ป่วยและญาติได้ใช้จริง และสามารถนำกลับไปปฏิบัติที่บ้านได้

นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 6 สิงหาคมของทุกปีเป็นวันสมาธิโลก เป็นวันรวมใจของชาวพุทธและชาวโลก ซึ่งขณะนี้การแพทย์แผนปัจจุบัน ได้ให้ความสำคัญการบำบัดโรคทางร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เกิดความสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นผู้ที่มีสุขภาพดี มีสุขภาวะสมบูรณ์ทั้งทางกาย จิต และสังคม ตามที่องค์การอนามัยโลกได้ให้ความหมายไว้ โดยขณะนี้หลายประเทศทางตะวันตกได้นำสมาธิ (Meditation) ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวพุทธไปฝึกปฏิบัติ เช่นที่สหรัฐอเมริกา พบว่า คนอเมริกันร้อยละ 26 ปฏิบัติสมาธิเป็นเทคนิคช่วยผ่อนคลาย ใช้แก้ไขปัญหาความเครียดและคลายความทุกข์ ส่วนที่แคนาดา มีผลการวิจัยในกลุ่มที่มีประกันสุขภาพในนครควิเบคฝึกสมาธิ 1,418 ราย เปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ฝึกในจำนวนเท่ากัน พบว่ากลุ่มที่ฝึกสมาธิใช้จำนวนวันของการรักษาลดลงและน้อยกว่า สามารถลดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ในการดูแลสุขภาพลงได้ถึงร้อยละ 14

ทั้งนี้ ในทางวิทยาศาสตร์ จิตคือระบบประสาทในสมอง ทำงานด้วยคลื่นไฟฟ้า เป็นตัวกำกับการทำงานของส่วนต่างๆ ให้สมดุล ถ้าระบบประสาทถูกกระตุ้นจนเกินพอดี จะส่งผลต่อร่างกายจนเกิดอันตรายได้ โดยร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenalin) ทำให้การทำงานของอวัยวะ และระบบต่างๆ ของร่างกาย ตื่นตัว หัวใจเต้นแรง และเร็วขึ้น ความดันเลือดสูง หลอดลมขยาย ม่านตาขยาย ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มมากขึ้น เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง หัวใจ ปอดและกล้ามเนื้อขยาย เป็นต้น ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะลดลง และภูมิต้านทานของร่างกายต่ำลงด้วย หากได้ฝึกสมาธิจะช่วยทำให้จิตสงบ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน (Endorphins) หรือสารแห่งความสุขออกมา ช่วยให้ระบบประสาทสมองทำงานเป็นระเบียบ การทำงานของอวัยวะมีประสิทธิภาพดีขึ้น

นพ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้นำการฝึกสมาธิหรือสมาธิบำบัดมาใช้รักษาควบคู่ไปกับการรักษาโรคทางกาย โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล ดำเนินงานสมาธิบำบัดในสถานบริการสุขภาพ เพื่อเป็นทางเลือกช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยและญาติ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต มีภาวะเครียด เพราะเมื่อจิตใจสงบนิ่ง และร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินออกมาจะมีผลช่วยลดอาการเจ็บปวด เพิ่มภูมิต้านทานโรค ลดความตึงเครียด ลดความดันโลหิต ลดระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่น ช่วยให้การไหลเวียนเลือดเป็นปกติ ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดในหัวใจตีบตัน อีกทั้งยังกระตุ้นให้ร่างกายทำลายเซลล์ที่มีปัญหาและเซลล์มะเร็งอีกด้วย หลังดำเนินการตั้งแต่พ.ศ.2549 จนถึงปัจจุบัน ได้ดำเนินการในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขแล้วร้อยละ 73 คาดว่าจะสามารถดำเนินงานสมาธิบำบัดครอบคลุมโรงพยาบาลทุกแห่งภายในปี 2558 โดยเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการอบรมแล้ว จะช่วยฝึกสอนการทำสมาธิเบื้องต้นให้ผู้ป่วยและญาติ ระหว่างที่พักรักษาตัวในหอผู้ป่วยตามความสมัครใจ และนำกลับไปใช้ต่อที่บ้านได้ตลอดเวลา