สธ.เตือนภัยอากาศร้อน เสี่ยงป่วย-ตาย จากโรคลมแดด โดยเฉพาะ 4 กลุ่มที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ คนอ้วน ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่นหัวใจ เบาหวาน สงสัญษณ ตัวร้อนจัดแต่ไม่มีเหงื่อออก แนะงดกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น มุงหลังคา ขุดดินกลางแจ้ง ควรสวมเสื้อผ้าสีอ่อน ระบายอากาศดี เพิ่มการดื่มน้ำบ่อยๆ ให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด เนื่องจากจะเร่งสูญเสียน้ำจากร่างกายมากขึ้น

นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า อุณหภูมิของประเทศไทยนับวันยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลต่อสุขภาพ เสี่ยงเกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ง่าย เพราะอากาศร้อนจะทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น มีผลกับการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด เมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงมากจนมีผลกระทบต่อระบบประสาท จะทำให้มีการเสียชีวิตจากอวัยวะต่างๆ ทำงานล้มเหลว โรคที่เกิดจากอากาศร้อนที่พบบ่อยมี 4 โรค ได้แก่ โรคลมแดดหรือฮีทสโตรก (Heat Stroke) โรคเพลียแดด (Heat Exhaustion) โรคตะคริวแดด (Heat Cramps) และผิวหนังไหม้แดด (Sun burn) โรคที่อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตคือโรคลมแดด แม้จะพบไม่ได้บ่อยในประเทศไทยแต่ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงสูง เกิดได้กับทุกคนที่ถูกแดดจัด หรืออยู่ในที่ที่ร้อนจัดเป็นเวลานาน กำชับให้ทุกจังหวัดเร่งให้คำแนะนำความรู้ในการดูแลและป้องกันโรคลมแดดให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะ 4 กลุ่มพิเศษที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากเสี่ยงเกิดโรคนี้ได้ง่ายกว่ากลุ่มอื่น ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ คนอ้วน และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
        
นอกจากนี้ยังพบได้ในผู้ที่ติดเหล้า นักกีฬา คนงาน เกษตรกร หรือทหาร ที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน มีรายงานข้อมูลในต่างประเทศ เช่นแถบยุโรป มีผู้เสียชีวิตจากอากาศที่ร้อนจัดปีละหลายพันราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ส่วนในประเทศไทย ข้อมูลในปี 2551 พบผู้ป่วยโรคลมแดด 80 ราย เสียชีวิต 4 ราย และในปี 2552 พบผู้ป่วยโรคลมแดดเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ด้วยสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 32 ราย
       
นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กลุ่มที่มีความเสี่ยงเกิดอาการจากโรคลมแดดได้ง่ายกว่ากลุ่มอื่น ได้แก่เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และคนอ้วน โดยเด็กเล็กจะสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกายจากความร้อนได้ง่าย ทำให้การปรับตัวของร่างกายต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นได้ไม่ดีเท่ากับผู้ใหญ่ และที่สำคัญเด็กเล็กไม่สามารถดูแลตนเองได้ ในกลุ่มผู้สูงอายุมีอยู่ประมาณ 9 ล้านคน กว่าครึ่งจะมีโรคประจำที่สำคัญคือ ระบบหลอดเลือดจากเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ซึ่งสภาพอากาศของไทยที่ร้อนชื้นทำให้การระบายความร้อนทางผิวหนังได้น้อย ความร้อนจะสะสมในร่างกายมากขึ้นทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ถ้าไม่แก้ไขจะทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเสียไปจนล้มเหลว และเสียชีวิตได้ ส่วนในกลุ่มของคนอ้วน ซึ่งขณะนี้มีประมาณ 13 ล้านคน จะมีปัญหาเรื่องการระบายความร้อนออกจากจากร่างกายได้ยาก เนื่องจากมีชั้นไขมันปิดกั้นยิ่งอ้วนมากยิ่งเสี่ยงสูง มีระบบการไหลเวียนเลือดมายังหลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังเป็นไปได้ไม่ดี และส่วนใหญ่จะมีโรคประจำตัวที่พบบ่อยคือเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ที่จะส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายอยู่แล้ว
       
นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า สัญญาณอาการของโรคลมแดดที่สังเกตได้ง่าย ได้แก่ ตัวร้อนจัดแต่ไม่มีเหงื่อ ผิวหนังแดง หัวใจเต้นเร็วและแรง มีอาการทางสมองเช่น เห็นภาพหลอน สับสน หงุดหงิด ชักหรือหมดสติ ภาวะนี้สามารถทำให้เกิดตับและไตวาย กล้ามเนื้อสลายตัว หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ น้ำท่วมปอด เกิดลิ่มเลือดอุดตันในกระแสเลือด และช็อกได้ ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน หากพบผู้ที่มีอาการที่กล่าวมา ให้รีบนำผู้ป่วยเข้าที่ร่มทันที รีบระบายความร้อนออกจากร่างกายให้ตัวเย็นลงโดยเร็ว เช่นการใช้ผ้าชุบน้ำธรรมดาหรือน้ำเย็นเช็ดตัว แช่ตัวในน้ำ ฉีดพรมน้ำแล้วเป่าด้วยลม ประคบน้ำแข็ง ถ้าไม่หมดสติให้จิบน้ำบ่อยๆ และส่งโรงพยาบาลทันที หรือโทรแจ้งขอความช่วยเหลือที่เบอร์ 1669 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง
       
ด้านนพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ แพทย์ประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี กล่าวว่า ในการป้องกันโรคลมแดด ขอให้พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัด ควรอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่ออกกำลังกายหรือทำงานกลางแดดเป็นเวลานาน เช่น การมุงหลังคาบ้าน ขุดดินกลางแจ้ง เป็นต้น ควรสวมเสื้อผ้าที่โปร่งสบาย สีอ่อน ไม่ทึบ และสามารถระบายอุณหภูมิความร้อนได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน สวมแว่นกันแดด สวมหมวกปีกกว้าง ควรดื่มน้ำมากกว่าปกติจากวันละ 1-2 ลิตร เพิ่มเป็นชั่วโมงละ 1 ลิตร เพื่อให้ร่างกายปรับอุณหภูมิให้คงที่ และชดเชยการเสียน้ำในร่างกายจากเหงื่อออก งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดเนื่องจากจะทำให้สูญเสียน้ำจากร่างกายมากขึ้น รักษาสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งๆ ละ 30 นาที ช่วงเช้าหรือเย็น เพื่อให้ร่างกายเคยชินกับสภาพอากาศที่ร้อนจัด
       
“ช่วงนี้อากาศร้อนคนจะกระหายน้ำบ่อย เหงื่อออกมาก เสียน้ำมาก หากจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ไปทำธุระเกิน 1-2 ชั่วโมง ขอให้ดื่มน้ำก่อนออกจากบ้านให้ได้ 2 แก้ว หรือประมาณครึ่งลิตร จะทำให้รู้สึกสบาย ร่างกายทนความร้อนได้นาน” นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าว