ไทยโพสต์ - กทม.ส่งทีมดับเพลิงช่วยสกัดเพลิงไหม้บ่อขยะสมุทรปราการ เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงคนแก่-เด็ก หลังพบก๊าซพิษหลายชนิดสูงกว่าค่าปกติ เสนออพยพประชาชนโดยรอบหลังผลตรวจล่าสุดพบก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์สูงถึง 175 พีพีเอ็ม จากค่าปกติไม่เกิน 8 พีพีเอ็ม จักษุแพทย์เตือนผู้ที่อยู่ในรัศมีควันพิษห้ามใส่คอนแท็กต์เลนส์ เพราะจะยิ่งทำให้ตาระคายเคือง
เมื่อวันที่ 18 มีนาคมนี้ นางสาวตรีดาว อภัยวงศ์ โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงสถานการณ์ไฟไหม้บ่อขยะที่นิคมอุสาหกรรมบางปู ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สุมทรปราการ ว่าจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถสกัดเพลิงเอาไว้ได้ กทม.จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) ไปช่วยเหลือ โดยมอบหมายให้ พ.ต.ท.สมเกียรติ นนทแก้ว ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการดับเพลิง 2 พร้อมด้วยรถดับเพลิงและเจ้าหน้าที่ไปยังจุดที่เกิด และได้ประเมินสภาพพื้นที่พร้อมประชุมหาแนวทางปฏิบัติการร่วมกับนายอิม แพหมอ นายก อบต.แพรกษา
ส่วนนางวันทนีย์ วัฒนะ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย (สนอ.) กล่าวว่า สนอ.ได้เข้าไปตรวจสอบบ่อขยะที่เทศบาลบางปู หลังเกิดเหตุไฟไหม้ส่งผลให้มีหมอกควันฟุ้งกระจาย ซึ่งผลตรวจวัดคุณภาพอากาศบริเวณชุมชนคลองบางนา พบมีก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) 45 ppm ซึ่งค่าปกติต้องไม่เกิน 8 ppm จากการวัดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน พบ 0.575 มิลลิกรัม/ลบ.ม. สูงกว่าค่าปกติถึง 5 เท่า จากค่าปกติต้องไม่เกิน 0.12 มิลลิกรัม/ลบ.ม. เมื่อตามไปตรวจที่โรงพยาบาลศิขรินทร์ ตามทิศทางลม พบก๊าซ CO 46 pmm ปริมาณฝุ่นละอองฯ 0.257 มิลลิกรัม/ลบ.ม. และพบปริมาณก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ส่วนที่วัดศรีเอี่ยม พบก๊าซ CO 39 pmm ปริมาณฝุ่นละอองฯ 0.224 มิลลิกรัม/ลบ.ม. นอกจากนี้ยังพบก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (ก๊าซไข่เน่า) วัดได้ 1.3 ppm จากค่าปกติต้องไม่เกิน 0.2 ppm
นายคณิต เอี่ยมระหงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า ขณะนี้สามารถควบคุมเพลิงไหม้บ่อขยะได้เกือบทั้งหมด เหลือเพียงบางส่วนที่อาจจะยังมีการปะทุขึ้นมา จึงต้องใช้รถขุดตักขนาดเล็กเข้าไปตักขยะที่ปะทุขึ้นมาแล้วฉีดน้ำดับ และโดยรอบยังมีการฉีดน้ำเลี้ยงไว้ตลอดเวลา รวมทั้งใช้เฮลิคอปเตอร์จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตักน้ำเพื่อโปรยลงตรงบริเวณกลางบ่อขยะซึ่งเป็นจุดที่เกิดเพลิงไหม้ตั้งแต่ต้น
ต่อปัญหาเกิดมลพิษเป็นภัยต่อประชาชนในรัศมีโดยรอบ นายคณิตกล่าวว่า จากการสำรวจพบว่ามีชาวบ้านในหมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 6 รวม 3 ชุมชน ได้รับความเดือดร้อนจากหมอกควันดังกล่าว จึงได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน โดยตั้งแต่เมื่อวันจันทร์มีชาวบ้านราว 90 ครัวเรือน จำนวน 200 คน เข้ามาอยู่ที่หอประชุมของ อบต.แพรกษาแล้ว ส่วนการดูแลเรื่องสุขภาพของประชาชนนั้น ได้ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขลงพื้นที่แจกผ้าปิดจมูกเพื่อลดการสูดดมควัน และแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวในสภาวะที่เกิดขึ้นเช่นนี้ หากพบว่ามีอาการแสบคอหรือแสบตาควรออกจากจุดดังกล่าว หรือควรอยู่ในอาคารที่ปิดมิดชิด
ด้านเจ้าหน้าที่ชุดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินสารเคมี กรมควบคุมมลพิษ ลงพื้นที่เข้าตรวจสอบและวัดค่าสาร VOC หรือสารก่อมะเร็ง, กลิ่น และมลพิษอื่นๆ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในบริเวณดังกล่าว ซึ่งผลจากการตรวจสอบพบว่ามีค่าสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์อยู่ที่ 4-5 ppm เกินจากมาตรฐาน และค่าคาร์บอนมอนออกไซด์อยู่ที่ 10 กว่า ppm ในรัศมี 1 กม. แต่เมื่อเข้าใกล้จุดเผาไหม้ ค่าสารดังกล่าวสูงขึ้นถึง 175 ppm ซึ่งเกินมาตรฐาน และเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ หากมีการสูดดมติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จึงเห็นควรให้อพยพประชาชนที่อยู่ในละแวกดังกล่าวออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย
ในส่วนของคดี พ.ต.อ.วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผกก.สภ.บางปู เปิดเผยว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้เชิญตัวผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้ดูแลบ่อขยะดังกล่าว และผู้อ้างว่าเป็นผู้ให้เช่าที่ดินมา มาสอบปากคำแล้ว รวมถึงลงพื้นที่สอบปากคำชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ และหากมีชาวบ้านรายใดที่ได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าวทั้งทรัพย์สินหรือร่างกาย สามารถเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.บางปูได้ ส่วนการตรวจสอบเรื่องใบอนุญาตนั้นจะเป็นหน้าที่ของ อบต.แพรกษา โดยหลังจากนี้เมื่อเพลิงสงบแล้ว และตรวจสอบหาสาเหตุของการเกิดเพลิงได้ ก็จะดำเนินคดีในข้อหากระทำการประมาททำให้เกิดเพลิงไหม้ นอกจากนี้ยังได้มีการประสานไปยังกรมควบคุมมลพิษ, สาธารณสุขจังหวัด และ อบต.แพรกษา ในการเข้าให้การช่วยเหลือชาวบ้านด้วย
ขณะที่ พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ให้ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีเพลิงไหม้บ่อขยะใน ต.แพรกษา อ.เมืองสมุทรปราการ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเคยมีชาวบ้านมาร้องเรียนให้ดีเอสไอเข้าไปตรวจสอบ หลังพบมีการลักลอบนำกากขยะพิษมาทิ้งส่งกลิ่นเหม็นและก่อมลภาวะ โดย อบต.แพรกษาเคยเรียกผู้ประกอบการที่ลักลอบทิ้งขยะพิษมาลงโทษปรับ แต่เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้จนส่งผลกระทบกับหลายพื้นที่ข้างเคียง ดีเอสไอจึงลงพื้นที่ตรวจสอบอีกครั้ง เนื่องจากคดีการลักลอบทิ้งกากขยะพิษเป็นความผิดแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ โดยมีประเด็นต้องตรวจสอบว่ากากขยะดังกล่าวมีที่มาอย่างไร และมีวัตถุอันตรายปนเปื้อนถูกนำมาลักลอบทิ้งหรือไม่ ซึ่งจะต้องรอผลการตรวจสอบทางเทคนิคของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งระหว่างนี้ดีเอสไอจะสอบสวนผู้เกี่ยวข้องคู่ขนานไปกับการตรวจสอบทางเทคนิคด้วย
บ่ายวันเดียวกัน นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะ ลงพื้นที่ตรวจสอบและร่วมแก้ไขปัญหามลพิษจากไฟไหม้บ่อทิ้งขยะ โดยมีนายคณิต เอี่ยมระหงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นายอิม แพหมอ นายก อบต.แพรกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้ข้อมูล
ต่อมา นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะ ก็ได้ไปตรวจบ่อขยะแพรกษา กล่าวว่า จะต้องดำเนินมาตรการเด็ดขาดต่อผู้ลักลอบทิ้งขยะ ซึ่งการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ผ่านมายังหละหลวม และไม่มีการประสานงานกันระหว่างท้องถิ่น ชุมชน ผู้ประกอบการโรงงาน การนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนี้ จากข้อมูลเบื้องต้นสามารถยืนยันได้ว่ามีขยะจากโรงงานอุตสาหกรรมปนมาด้วย ไม่ใช่ขยะจากชุมชน ดังนั้นทางกระทรวงอุตสาหกรรมจึงต้องเข้ามาช่วยดูแล
นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการตรวจบ่อขยะขนาด 100 ไร่ที่เกิดเพลิงไหม้ ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีเศษวัสดุยางในโรงงานอุตสาหกรรมจริง และแน่นอนว่าเข้าข่ายกระทำความผิดลักลอบทิ้งขยะอุตสาหกรรมแน่นอน ดังนั้นกรมโรงงานเตรียมแจ้งความดำเนินคดีเพื่อเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ รถรับจ้างขนส่งและกำจัดขยะ รวมทั้งบริษัทที่นำขยะมาทิ้งอีกด้วย โดยจะมีความผิดโทษฐานทิ้งกากอุตสาหกรรมในที่ที่ไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาทต่อครั้งต่อคน และต่อกรณี
พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า หลังเกิดเหตุไฟไหม้บ่อขยะ กองทัพบกได้ส่งกองร้อยช่วยเหลือประชาชนจากกองพลทหารราบที่ 11 พร้อมรถดับเพลิงจำนวน 3 คัน สนธิกำลังกับ จ.สมุทรปราการ และส่วนราชการในพื้นที่เข้าดับเพลิงทันที ปัจจุบันสามารถควบคุมเพลิงไม่ให้ขยายวงกว้างได้แล้ว โดยยังคงกำลังทหารพร้อมเข้าช่วยดับไฟ สำรวจความเสียหาย, เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากซากขยะที่ถูกเผาไหม้ยังคงมีความร้อนและอาจปะทุขึ้นได้อีก ทั้งนี้ ล่าสุด ผบ.ทบ.มีความห่วงสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง จึงได้สั่งการให้ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบกส่งชุดประเมินภัยพิบัติกองทัพบก ซึ่งประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์บรรเทาสาธารณภัย ด้านสารเคมีพิษและวัตถุอันตราย จากกรมวิทยาศาสตร์ทหารบก เข้าประเมินความเสียหายและตรวจสอบสารพิษ สารเคมีปนเปื้อน รวมทั้งประเมินสภาพควันพิษ ร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่รับผิดชอบ รวมทั้งได้ส่งชุดแพทย์เคลื่อนที่จากกรมแพทย์ทหารบก เพื่อตรวจรักษาและให้คำแนะนำกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ กองทัพบกยังมอบให้กองทัพภาคที่ 1 เตรียมกำลังพลและยุทโธปกรณ์กู้ภัย พร้อมเข้าสนับสนุนเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และคลี่คลายสถานการณ์ให้ยุติโดยเร็ว
นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กล่าวว่า สารพิษทั้ง 4 ตัวที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้บ่อขยะคือ คาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และฟอร์มาดีไฮด์ ทำให้หลายฝ่ายกังวลถึงความเจ็บป่วยจากอาการระคายเคืองทางระบบทางเดินหายใจ ที่อันตรายจนถึงขั้นหมดสติและเสียชีวิตได้ หากได้รับสารดังกล่าวในปริมาณมากๆ หรืออาการระคายเคืองทางผิวหนัง แต่สิ่งที่น่าห่วงอีกเรื่องก็คืออันตรายต่อดวงตา เพราะสารทั้ง 4 ตัวมีคุณลักษณะเป็นทั้งกรดและด่าง หากทำปฏิกิริยากับน้ำตานานๆ จะทำให้เกิดอาการเยื่อบุตาขาวอักเสบจากสารเคมีได้ ที่สำคัญขณะนี้อากาศกำลังแห้ง ทำให้น้ำตาแห้ง ความเข้มข้นของกรด-ด่างจึงสูงขึ้น ดวงตาจึงระคายเคือง อักเสบ แสบ และแดงได้ง่ายกว่า มากกว่า และนานกว่าช่วงที่อากาศชุ่มชื้น
นพ.ฐาปนวงศ์กล่าวว่า วิธีป้องกันสำหรับบุคคลที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบพื้นที่บ่อขยะดังกล่าวคือ ต้องสวมแว่นกันแดดทุกครั้งเวลาออกจากบ้าน โดยแว่นกันแดดไม่จำเป็นต้องปิดดวงตาทั้งหมด เลือกแว่นที่พอหลวมๆ มีช่องว่างระบายลมเล็กน้อย นอกจากนี้ ควรสวมหมวก ใส่หน้ากากอนามัย และพกผ้าขนหนูและน้ำสะอาดติดตัวไปด้วย หากมีอาการระคายเคืองก็ให้น้ำผ้าขนหนูชุบน้ำแล้วโปะเช็ดดวงตา จะทำให้ดวงตาสบายขึ้น รวมถึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ดวงตา เมื่อกลับบ้านก็ให้ถอดเสื้อผ้าและอาบน้ำทันที
"ใช้เพียงน้ำดื่มที่สะอาดล้างตาก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเกลือ ขอเพียงล้างหน้าล้างตาบ่อยๆ ก็จะช่วยล้างสารพิษออกไปได้ ที่สำคัญผู้ที่ใช้คอนแท็กต์เลนส์อยู่นั้น ช่วงนี้แนะนำว่าห้ามใส่ออกจากบ้านเด็ดขาด เพราะการใส่คอนแท็กต์เลนส์ออกมาเจอกับสารพิษจะทำให้ดวงตาเกิดอาการระคายเคืองมากยิ่งขึ้น และคอนแท็กต์เลนส์เสื่อมเร็ว เสียคุณสมบัติไวขึ้น” จักษุแพทย์ รพ.พระนั่งเกล้า กล่าว.
ที่มา: http://www.thaipost.net
- 6 views