ผลวิจัยในประเทศออสเตรเลียได้เผยถึงผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของการค้าบุหรี่ผิดกฎหมาย และผลกระทบของร้านค้ารายย่อยจากค่าแรงและค่าใช้จ่ายในการจัดการสินค้า รวมไปถึงข้อผิดพลาดในการจัดการผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากกฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบ ที่ประเทศออสเตรเลียได้บังคับใช้ในช่วงระยะเวลากว่า 9 เดือนที่ผ่านมา

ผลวิจัยผลกระทบร้านค้าปลีกรายย่อยในออสเตรเลียจากการใช้ซองบุหรี่แบบเรียบ หรือ The Impact of Plain Packaging on Australia Small Retailers1 จัดทำโดยบริษัททำวิจัย Roy Morgan ซึ่งได้รับการเผยแพร่โดยสมาคมร้านสะดวกซื้อในประเทศออสเตรเลีย (Australian Association of Convenience Stores - AACS) แสดงให้เห็นถึงการรับรู้ของร้านค้าปลีกรายย่อยในออสเตรเลียว่า การค้าบุหรี่ผิดกฎหมายนั้นมีอัตราที่สูงขึ้น โดยเพิ่มขึ้นตั้งแต่เริ่มใช้กฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบ โดย 3 ใน 10 เผยว่ามีลูกค้ามาสอบถามเพราะต้องการซื้อบุหรี่ผิดกฎหมาย

นอกจากนั้น ผลวิจัยนี้ยังเผยถึงผลกระทบต่างๆ ต่อร้านค้าปลีกรายย่อยต้องรับเคราะห์จากกฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบ ได้แก่

· 2 ใน 3 ของร้านค้ารายย่อยกล่าวว่าซองบุหรี่แบบเรียบส่งผลกระทบด้านลบต่อธุรกิจของพวกเขา

· ร้อยละ 78 ของร้านค้าประสบปัญหาในการใช้เวลาที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าที่สามารถซื้อบุหรี่ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และร้อยละ 62 ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นเพื่อสื่อสารกับลูกค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยาสูบ

· ร้อยละ 62 ของร้านค้าขนาดเล็กเกิดความสับสนเพิ่มขึ้นจากการขายบุหรี่ให้แก่ลูกค้าที่สามารถซื้อได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และร้อยละ 65 พบกว่าอัตราที่ลูกจ้างในร้านขายผลิตภัณฑ์ผิดแบบให้แก่ลูกค้านั้นเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความยากในการจดจำและแยกแยะผลิตภัณฑ์บุหรี่แต่ละยี่ห้อ

· ร้อยละ 34 ของร้านค้าพบว่าความถี่ที่ลูกค้าพยายามคืนสินค้านั้นมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุมาจากการที่พวกเขาได้รับผลิตภัณฑ์ผิดแบบไป

· ร้านค้าขนาดเล็กกว่าร้อยละ 44 กล่าวว่าซองบุหรี่แบบเรียบนั้นส่งผลกระทบด้านลบต่อระดับการบริการให้แก่ลูกค้าที่ไม่ได้บริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบ

นางวราภรณ์ นะมาตร์ ผู้อำนวยการสมาคมการค้ายาสูบไทย ได้ให้ความเห็นว่า “ผลวิจัยในประเทศออสเตรเลียได้แสดงให้เห็นว่า ร้านค้าเป็นฝ่ายที่ต้องรับเคราะห์จากกฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบหนักที่สุด ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วยตนเอง เจอปัญหาความสับสนของลูกค้า การจัดการสินค้าในสต็อก รวมทั้งต้องฝึกอบรมพนักงานเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ประเทศไทยต้องพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นให้รอบคอบ เพื่อไม่ให้ร้านค้าปลีกกว่า 480,000 รายในประเทศไทยต้องประสบปัญหาเหมือนที่ออสเตรเลีย อีกทั้งการบังคับใช้ซองบุหรี่แบบเรียบยังแสดงให้เห็นถึงปัญหาบุหรี่เถื่อนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ช่วยในการพยายามในการลดอัตราการบริโภคบุหรี่แต่อย่างไร หนำซ้ำจะทำให้รัฐต้องเสียรายได้ทางภาษีที่ควรจะได้มาใช้พัฒนาประเทศ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่ากฎหมายนี้ไม่มีผลดีกับฝ่ายใดเลย”

นอกจากนั้น ผลวิจัยผลกระทบร้านค้าปลีกรายย่อยในออสเตรเลียจากการใช้ซองบุหรี่แบบเรียบ ยังสอดคล้องกับผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ค้าปลีกยาสูบในประเทศไทย2 จัดทำโดย บริษัท อิปซอสส์ (ไทยแลนด์) โดยผลสำรวจพบว่ากว่าร้อยละ 82 ของ กลุ่มผู้ค้าปลีกเชื่อว่ามาตรการซองบุหรี่แบบเรียบนี้จะส่งผลกระทบเชิงลบอย่างมากต่อธุรกิจของพวกเขา การดำเนินงานในร้านค้าในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการสั่งสินค้า การจัดเก็บสินค้า และการให้บริการลูกค้าจะมีความซับซ้อนและยุ่งยากมากขึ้น รวมทั้งเป็นการกระตุ้นการลักลอบค้าบุหรี่เถื่อนในประเทศไทยมากขึ้น

“กฎหมายเพิ่มขนาดภาพคำเตือนซองบุหรี่ 85% ของไทย นับว่าคล้ายคลึงกับกฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบ ซึ่งกฎหมายทั้งสุดโต่งสองแบบต่างมีผลกระทบต่อร้านค้าปลีกโดยตรง ที่ผ่านมาในประเทศไทยขาดการศึกษาจากทางฝั่งร้านค้าซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าใจสถานการณ์ในการขายของหน้าร้าน ผลวิจัยของออสเตรเลียนี้ถือว่าได้ตอกย้ำถึงปัญหาที่สมาคมการค้ายาสูบไทยพยายามจะสื่อสารให้ทุกฝ่ายได้รับทราบถึงผลกระทบของฝั่งร้านค้าปลีกได้อย่างดี”  นางวราภรณ์ กล่าวสรุป