นักวิจัยทีดีอาร์ไอเรียกร้องการพัฒนาคุณภาพที่ไม่เหลื่อมล้ำของระบบหลักประกันสุขภาพคนไทย โดยในการเสวนาสาธารณะเรื่อง คิดใหม่ : คิดใหม่ระบบหลักประกันสุขภาพของไทย” ซึ่งทีดีอาร์ไอจัดขึ้น เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา นักวิจัยทีดีอาร์ไอได้เสนอบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ เกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำในระบบประกันสุขภาพ ที่ยังมีความไม่สอดคล้องกันของเงินที่ใส่ลงไปในแต่ละระบบ สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ คุณภาพบริการ และแนวทางลดความเหลื่อมล้ำที่จะไม่ทำให้สถานะสุขภาพของคนไทยแตกต่างกัน
ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัย ด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตร ทีดีอาร์ไอ นำเสนอบทวิเคราะห์ เหลียวหลังแลหน้า เส้นทางเดินของระบบหลักประกันสุขภาพของไทย ระบุว่า มีมายาคติหรือตรรกะที่ผิดพลาดในวงการสุขภาพตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันคือความเชื่อที่ว่าต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจนนำไปสู่การกำหนดเป้าหมายและนโยบายที่สร้างปัญหามาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่า ประเทศจะอยู่ไม่ได้หรือแข่งขันไม่ได้ถ้าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มเร็วกว่าหรือสูงกว่ารายได้(GDP) และต่อมาถูกย้ำว่าประเทศอยู่ใน “วิกฤติสุขภาพ” ทำให้จำเป็นต้องปฎิรูป และเมื่อเกิดโครงการ 30 บาทฯซึ่งเป็นโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่เป้าหมายสำคัญกลับอยู่ที่การควบคุมค่าใช้จ่าย ความเชื่อนี้มีผลกระทบมากตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน และยังมีผลมากในปัจจุบัน โดยการกดค่าหัวเหมาจ่ายของโครงการ 30 บาทให้ต่ำตั้งแต่ต้น นำไปสู่การเพิ่มค่าหัวในอัตราที่สูงขึ้นในปีต่อ ๆ มาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อโรงพยาบาลติดลบมาก ปัจจุบันรัฐบาลก็มีนโยบายแช่แข็งค่าหัวของโครงการ 30 บาท การเกิดโครงการ P4P ที่พยายามรีดประสิทธิภาพโดยไม่ใช้เงินเพิ่ม
หากต้องการระบบหลักประกันสุขภาพที่ยั่งยืน เป็นที่พึ่งพิงที่ประชาชน ฝากชีวิตได้จริง ไม่ใช่ปล่อยให้เสื่อมถอยไปเป็นแค่โครงการสำหรับคนจนที่ไม่มีทางเลือก การแก้ปัญหาในอนาคตควรมุ่งไปสู่การปรับปรุงคุณภาพให้เกิดระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ประชาชนเชื่อมั่น ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายและบุคลากรต้องเพิ่มขึ้นอีกมาก
ส่วนระบบบริหารหรือการอภิบาลระบบนั้น ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ระบบสาธารณสุขเป็นระบบที่มีความพยายามปฏิรูปมากที่สุด แต่ก็ยังไม่สามารถนำไปสู่กระบวนการสร้างนโยบายที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมได้จริง ทางออกที่เป็นไปได้อยู่ที่การประนีประนอมและหาทางออกหรือจุดร่วมที่สมเหตุสมผล โดยฝ่ายการเมืองควรเดินออกจากหล่มตรรกะวิบัติที่ว่าประเทศจะไปไม่ได้ถ้าไม่แช่แข็งรายจ่ายด้านสุขภาพ แล้วหันไปเน้นการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพที่มีคุณภาพ ซึ่งจะต้องการทั้งคนและเงินเพิ่มในระยะยาว ผู้บริหารฝ่ายการเมือง(รมต.)ต้องทำหน้าที่ทำความเข้าใจและต่อรองเรื่องงบกับรัฐบาล ซึ่งถ้ามองการณ์ไกล การรักษาและพัฒนาให้โครงการและระบบบริการมีคุณภาพเป็นที่เชื่อถือของประชาชนจะเป็นประโยชน์กับฝ่ายการเมืองเองในระยะยาว ระบบจะมีคุณภาพได้ต้องสามารถถ่วงดุลหรือแยกบทบาทของผู้คุมกฎ ผู้ซื้อ และผู้ใช้บริการ ขณะที่ฝ่ายที่ต้องการปฎิรูปควรให้ความสำคัญกับการปฎิรูประบบ เน้นการพัฒนาระบบที่สามารถเดินไปได้ในระยะยาวโดยไม่ต้องยึดติดกับตัวบุคคล และไม่หลงคิดว่าการเดินหน้าชนแบบเดิมหรือแรงขึ้นโดยมีผู้สนับสนุนเพียงบางส่วนจะสามารถทำให้คนที่เหลือมาเห็นด้วยหรือจะทำให้ได้มาซึ่งชัยชนะอย่างเด็ดขาดนั้น นอกจากทำได้ยากแล้วยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้สูญเสียทุนทางสังคมที่พอมีอยู่เปล่าประโยชน์
ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ ทีดีอาร์ไอ นำเสนอบทวิเคราะห์ กลไกอภิบาลระบบหลักประกันสุขภาพเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ โดยกล่าวว่า แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดให้คนไทยทุกคนต้องได้รับบริการสุขภาพที่เท่าเทียมกันแต่ในความเป็นจริง ระบบได้สร้างให้เกิดความเหลื่อมล้ำทำให้คนบางกลุ่มได้รับสิทธิประโยชน์มากกว่า ความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้นเพราะระบบประกันสุขภาพของไทยเกิดมาทีละชิ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เริ่มจากสวัสดิการข้าราชการ เป็นกลุ่มแรก ต่อมาคือประกันสังคม และต่อมาคือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งก็ทำให้ประเทศไทยมีระบบประกันสุขภาพที่ครอบคลุมคนทุกกลุ่มแต่เกิดขึ้นเป็นหย่อม ๆ
ระบบประกันสุขภาพของไทยมีลักษณะที่แปลกกว่าประเทศอื่นคืออยู่ภายใต้หลายกระทรวง ทำให้บริหารจัดการได้ยาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนในปัจจุบัน จะเห็นได้จากอัตราเหมาจ่ายรายหัวของแต่ละกองทุน โดยข้อมูลในปี 2554 พบว่า หลักประกันสุขภาพแห่งชาติดูแลคนกว่า 48.12 ล้านคน ใช้เงินปีละประมาณ 1 แสนล้านบาท ค่าใช้จ่ายต่อหัว 2,091 บาท/คน ประกันสังคมดูแลคน 9.9 ล้านคน ใช้เงินปีละประมาณ 25,361 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายต่อหัว 2,562 บาท/คน ขณะที่สวัสดิการข้าราชการดูแลคน 4.4 ล้านคน ใช้เงินปีละประมาณ 61,844 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายต่อหัว 14,056 บาท/คน
ความเหลื่อมล้ำมีอยู่ในทุกรูปแบบและแตกต่างกันทั้งสิทธิประโยชน์ คุณภาพในการรักษาพยาบาล และค่าเบี้ยประกัน ตัวอย่างเช่น กรณีสิทธิประโยชน์ทั้ง 3 กองทุนก็ได้รับไม่เท่าเทียมกัน เป็นโรคเดียวกันเข้าไปรักษาในโรงพยาบาล ค่ารักษาพยาบาลก็จะแตกต่างกันตามสิทธิที่ติดตัวมา ทั้งที่ความจริงไม่ว่าจะมาจากระบบประกันแบบไหนก็ควรได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน การแยกระบบแยกการบริหารดังที่เป็นอยู่ทำให้เกิดต้นทุนที่แตกต่างกันจึงทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการรับบริการ การลดความเหลื่อมล้ำจึงต้องมีระบบประกันสุขภาพระบบเดียว โดยอาจไม่ต้องรวม 3 กองทุนแต่อยู่ภายใต้ระบบเดียว ต้องมีชุดสิทธิประโยชน์มาตรฐานชุดเดียว สิทธิประโยชน์ที่เพิ่มเติมจากชุดสิทธิประโยชน์มาตรฐาน ผู้ประกันตนหรือนายจ้าง มิใช่รัฐจะต้องเป็นผู้จ่าย เพื่อที่จะให้ประชาชนทุกคนได้รับการอุดหนุนด้านบริการสุขภาพที่เท่าเทียมกัน
ข้อเสนอ คือ ประเทศไทยควรพัฒนาระบบประกันสุขภาพโดยมีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นแกนหลัก โดยให้ สปสช.ดูแลสิทธิประโยชน์มาตรการที่เท่าเทียมกัน ส่วนกองทุนสวัสดิการข้าราชการและกองทุนประกันสังคมอยากให้สิทธิประโยชน์ใดเพิ่มเติมก็ต้องเป็นผู้จ่ายเงินเติมเข้ามา แต่ทั้งนี้สิ่งที่ต้องระวังคือการได้สิทธิพิเศษนั้นต้องไม่นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำ จึงต้องมีเงื่อนไขว่า จะต้องเป็นสิทธิประโยชน์ด้านสังคม เช่น การชดเชยรายได้ในกรณีลางานเพื่อคลอดบุตรหรือเจ็บป่วย สิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพเพิ่มเติม เช่น การใช้บริการในสถานพยาบาลเอกชน การเบิกจ่ายยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ บริการทันตกรรม การรักษาพยาบาลจากแพทย์ทางเลือก เป็นต้น และเป็นสิทธิที่ไม่ใช่การเบียดเบียนใช้ทรัพยากรที่มีจำกัด
ที่สำคัญ ระบบประกันสุขภาพในอนาคตควรเป็นระบบที่มีการตรวจสอบคุณภาพมากขึ้น และมีกลในการส่งเสริมความรับผิดชอบ
- 12 views