สถานการณ์โรคมาลาเรียในประเทศไทย ปี 55 พบผู้ป่วย 24,723 รายกรมควบคุมโรคเตรียมเปลี่ยนสูตรยารักษา โรคมาลาเรีย เป็นสูตร DHA-PIP หลังเฝ้าระวังทั่วประเทศ 9 จุด พบคุณภาพยาเฉลี่ย ปริ่มๆ 90% ขยายวงขึ้น หรือเชื้อดื้อต่อยาประมาณ 10% ขณะที่ปี 55 พบผู้ป่วยกว่า 24,000 ราย
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยในการเป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตร Malaria Prevention and Control สำหรับบุคลากรจากประเทศในภูมิภาคแอฟริกา 6 ประเทศ ประกอบด้วย โกตดิวัวร์, มาลี, โมซัมบิก, เซเนกัล, อูกานดาและแซมเบียว่า สถานการณ์โรคมาลาเรียทั่วโลกในแต่ละปี จำนวนประชากรที่ติดเชื้อมาลาเรียทั่วโลกมีประมาณ 300 ล้านคน เสียชีวิตประมาณ 1 ล้านคน ในจำนวนนี้ ร้อยละ 90 เกิดขึ้นในแอฟริกา ส่วนใหญ่จะเกิดกับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และในทวีปแอฟริกามีแนวโน้มว่าปัญหาอาจจะเพิ่มมากขึ้น
อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวอีกว่า ส่วนสถานการณ์โรคมาลาเรียในประเทศไทย ปี 2555 พบผู้ป่วยทั้งหมด 24,723 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 0.24 ต่อประชากร 1,000 คน โดยแยกเป็นผู้ป่วยคนไทย จำนวน 15,287 ราย ผู้ป่วยชาวต่างชาติ จำนวน 9,436 ราย จำนวนผู้เสียชีวิต จำนวน 11 ราย เป็นคนไทย 9 ราย ชาวต่างชาติ 2 ราย เมื่อแยกเป็นรายจังหวัดที่มีผู้ป่วยมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ จังหวัดตาก ผู้ป่วยไทย 4,607 ราย ผู้ป่วยต่างชาติ 4,342 ราย จังหวัดกาญจนบุรี ผู้ป่วยไทย 1,228 ราย ผู้ป่วยต่างชาติ 1,842 ราย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ผู้ป่วยไทย 990 ราย ผู้ป่วยต่างชาติ 505 ราย จังหวัดระนอง ผู้ป่วยไทย 514 ราย ผู้ป่วยต่างชาติ 527 ราย และจังหวัดสงขลา ผู้ป่วยไทย 868 ราย ผู้ป่วยต่างชาติ 117 ราย
จึงขอแนะนำประชาชนที่เป็นเจ้าของสวนยางพารา และนำแรงงานต่างด้าวเข้ามากรีดยางหรือทำงานอื่นๆ ขอให้พาแรงงานเหล่านั้นไปรับการเจาะเลือดตรวจหาเชื้อมาลาเรียก่อน เพื่อป้องกันตนเองและคนในสังคม เพราะโรคมาลาเรียสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยการกินยาและฉีดยาจนครบ
ด้านนพ.วิชัย สติมัย ผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในปี 2556 กรมควบคุมโรคจะทำการเปลี่ยนยารักษาโรคมาลาเรีย ที่เกิดจากเชื้อพลาสโมเดียม ชนิดฟัลซิปารัม ซึ่งเป็นเชื้อที่มีความรุนแรงอาจทำให้เชื้อขึ้นสมอง ตับวาย จนถึงเสียชีวิต จากยาอาร์ทีซูเนต (artesunate), ยาเมโฟลควิน (mefloquine) เป็นยาสูตรผสมไดไฮโดรอาทีมิซินิน-พิเพอราควิน(Dihydroartemisininpiperaquin หรือ DHA-PIP) เนื่องจากการเฝ้าระวังเชื้อวัณโรคดื้อยาพื้นที่ 9 จุด ใน 9 จังหวัดตามแนวชายแดนไทย-พม่า ไทย-กัมพูชา ไทย-ลาว และไทย-มาเลเซีย ได้แก่ จ.ระนอง แม่ฮ่องสอน ราชบุรี กาญจนบุรี ตาก อุบลราชธานี จันทบุรี ตราด และยะลา พบว่า คุณภาพยาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 90% หรือเชื้อดื้อต่อยา ประมาณ 10% ซึ่งตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกระบุว่า หากคุณภาพยาต่ำกว่า 90% ควรเปลี่ยนสูตรยาที่ใช้ในการรักษา โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการสั่งซื้อยาใหม่เข้ามาใช้ได้ประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2556
"ที่ต้องเปลี่ยนยาที่ใช้เพราะพบว่า วงของคุณภาพยาที่ต่ำกว่าหรือสูงกว่า 90% ไม่มากเริ่มมีมากขึ้นในหลายจุด จากเดิมที่พบเพียงจ.จันทบุรีและตราด คุณภาพยาอยู่ที่ 87% จ.อุบลราชธานี 95-96% เริ่มพบว่าจ.ระนองและกาญจนบุรีคุณภาพลดน้อยลงเช่นกัน โดยตัวใหม่ที่จะนำมาใช้คาดว่าจะต้องสั่งซื้อให้เพียงพอกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อมาลาเรียชนิดนี้ ปีละ 12,000-15,000 รายหรือ 50% ของจำนวนผู้ป่วยมาลาเรียที่พบในไทยแต่ละปี โดยอีก 50% เป็นผู้ป่วยที่เกิดจากเชื้อพลาสโมเดียม ไวแวกซ์ ซึ่งเป็นเชื้อที่ไม่รุนแรง และยังไม่มีการดื้อยา ยาที่ใช้รักษาในปัจจุบันคือยาคลอโรควิน ที่สามารถผลิตได้ภายในประเทศโดยองค์การเภสัชกรรม(อภ.) อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อมาลาเรียดื้อยา" นพ.วิชัย กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 22 มกราคม 2556
- 84 views