แพทย์รามาฯ เผยคนไทยป่วยโรคไตเรื้อรังกว่า 17% แนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เบาหวาน ความดัน  พฤติกรรมการบริโภค กินหวาน มัน เค็ม หรือสมุนไพรบางชนิด แนะคัดกรองสุขภาพ  โดยเฉพาะ 4 กลุ่มเสี่ยง ย้ำข้อสังเกตปัสสาวะกลางคืนแบบใดเข้าข่ายป่วยโรคไต  เผยแนวทางรักษา และป้องกันก่อนเกิดโรค

 

ไทยป่วยโรคไตกว่า 17%  

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ผศ.นพ.คณิน ธรรมาวรานุคุปต์ อายุรแพทย์โรคไต สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ให้ความรู้เรื่อง โรคไตเรื้อรัง ภายในรายงาน FM 91 ก้าวทันโรคกับแพทยสภา โดยดีเจ ลัดดาวัลย์ คัชชาพงษ์  ว่า  โรคไต ถือเป็นปัญหาสาธารณสุขทั้งประเทศไทยและทั่วโลก ความชุกของผู้ป่วยไตในไทยมีกว่า  17% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุส่วนใหญ่เบาหวานและความดัน รองลงมาคือ นิ่วในไต ภาวะไตอักเสบ รวมถึงกรรมพันธุ์ไต อย่างนิ่วในไต มีหลายสาเหตุ เช่น อาหารการกิน กินสมุนไพรบางชนิด หรือเกิดจากกรรมพันธุ์ก็ได้

ทั้งนี้ โรคไตมี 2 แบบ คือ แบบไตเสื่อมเฉียบพลัน และแบบไตเสื่อมเรื้อรัง โดยไตเสื่อมแบบใดจะพิจารณาจากค่าการทำงานของไตเสื่อมลงกว่าปกติ โดยตัดเวลา 3 เดือน หากไตเสื่อมลงกว่าปกติน้อยกว่า 3 เดือนจะเป็นแบบเฉียบพลัน แต่หากมากกว่า 3 เดือนจะเป็นไตเรื้อรัง

5 ระยะโรคไตเรื้อรัง

“ไตเรื้อรัง” คือ การทำงานไตเสื่อมลงน้อยกว่า 60% ยาวนานเกิน 3 เดือน  แบ่งเป็น 5 ระยะ คือ ระยะที่1  ค่าการทำงานของไตอยู่ที่มากกว่า 90%  ซึ่งจริงๆต้องพิจารณาจากหน้าตาไต เช่น ไตมีถุงน้ำเยอะ แม้อัตราการกรองของไตมากกว่า 90% ก็ถือว่าเป็นโรคไตระยะที่ 1 ได้ ส่วนระยะที่ 2 ค่าการทำงานของไตอยู่ที่ 60-90%  ระยะที่ 3 ค่าการทำงานของไต 30-60% ระยะที่ 4  ค่าการทำงานของไต15-30% และระยะที่ 5 (ระยะสุดท้าย) ค่าการทำงานของไตต่ำกว่า 15%  

“ไตเสื่อม” ไม่สามารถฟื้นคืนได้

“หากค่าการทำงานของไตเสื่อมลงแล้ว จะไม่สามารถฟื้นให้กลับมาดีขึ้น แต่สามารถชะลอไม่ให้เสื่อมเร็วลงไปอีกได้ เช่น ผู้ป่วยค่าการทำงานไตอยู่ที่ 65% หากไม่ทำอะไรผ่านระยะเวลาหนึ่งอาจลดลงมาเร็วเหลือ 50% แต่หากรู้เร็วปฏิบัติตัวถูกต้อง อาจลดลงเหลือ 62% ได้” ผศ.นพ.คณิน กล่าว

อาการผู้ป่วยไตเรื้อรัง ปัสสาวะผิดปกติ อ่อนเพลีย

สำหรับอาการของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง อายุรแพทย์โรคไต ให้ความรู้ว่า “ผู้ป่วยโรคไต จะไม่มีอาการอะไรเลย จนไปถึงรุนแรง  ช่วงที่ไม่มีอาการ แต่เมื่อตรวจปัสสาวะอาจเห็นเม็ดเลือดแดง หรือโปรตีนรั่วออกมาเจือปนได้ หรือปัสสาวะมีฟองมากขึ้น หรือปัสสาวะกลางคืน 2 ครั้งขึ้นไป เช่น นอนหลับไปแล้วต้องตื่นมาก็ให้ระวัง หรือปัสสาวะน้อยลง บางคนกินไม่ค่อยได้ อ่อนเพลีย ตัวบวม ขาบวม เหนื่อยง่ายขึ้น อาการจะค่อยๆมากขึ้นจนสุดท้ายเป็นโรคไตระยะสุดท้ายได้ ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อยๆมาทีละอย่าง ตั้งแต่น้อยจนถึงมาก บางคนหากค่าทำงานไตเสื่อมลงเหลือ 20% แต่ไม่มีอาการก็ยังได้

ผศ.นพ.คณิน ย้ำถึงการปัสสาวะกลางคืนมากกว่า 2 ครั้ง ให้สังเกตด้วยว่า เมื่อตื่นมาแล้วไม่ต้องดื่มน้ำซ้ำ  แต่ยังปัสสาวะกลางคืนก็ถือว่าเสี่ยงได้  เนื่องจากร่างกายเราภายใน 4 ชั่วโมงจะขับปัสสาวะจากน้ำที่ดื่มเกือบออกเกิน 80%  หากตื่นมาดื่มก็จะต้องถ่ายออก แต่หลักการคือ ตื่นมาแล้วต้องไม่ดื่มน้ำ ให้สังเกตตรงนี้ได้   นอกจากนี้  การปัสสาวะเป็นฟอง หรือกลิ่นผิดปกติ ขอให้มาตรวจก่อน ส่วนภาวะบวม อาจไม่ใช่แค่โรคไต ยังมีโรคหัวใจ โรคตับ ดังนั้น ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยดีที่สุด เพราะโรคไตเป็นโรคเงียบ บางคนไม่แสดงอาการ บางคนแสดงอาการ

คัดกรอง 4 กลุ่มเสี่ยง

ดังนั้น สิ่งสำคัญขอให้มีการตรวจคัดกรองในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง โดยกลุ่มเสี่ยง คือ 1. อายุมากกว่า 60 ปีแนะนำตรวจคัดกรอง 2 อย่าง คือ เจาะเลือดดูค่าทำงานไต และเก็บปัสสาวะ 1 กระปุกเพื่อหาโรคไตได้ 2.กลุ่มโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคเก๊าต์ โรคนิ่วในไต เป็นต้น  3.กลุ่มมีประวัติสูบบุหรี่ มีผลทำให้เส้นเลือดไตแย่ลงได้  4.กลุ่มกินยาสมุนไพร ยาจีน หรือยาแก้ปวดแก้อักเสบเยอะๆ ขอให้ตรวจคัดกรองไตเป็นช่วงๆ  

ทั้งนี้ การเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะจะพอทราบได้ระดับหนึ่ง หรือการตรวจอัลตราซาวด์เพื่อพิจารณาว่ามีลักษณะไตผิดปกติหรือไม่

การรักษาด้วยการบำบัดทดแทนไต

สำหรับการรักษาด้วยการการบำบัดทดแทนไต   มีทั้งการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การล้างไตผ่านหน้าท้อง และที่แนะนำคือ การปลูกถ่ายไต  จริงๆมีทางเลือกที่ 4 ในการรักษาตามอาการสำหรับคนไข้ที่มีโรคร่วมเยอะ การฟอกเลือดอาจเป็นอันตรายได้

(ข่าวเกี่ยวข้อง : บอร์ด สปสช. เห็นชอบข้อเสนอ นำระบบล้างไตช่องท้อง PD first กลับมาใช้ )

แนวทางป้องกันโรคไต

แนวทางป้องกันโรคไต  ผศ.นพ.คณิน เผยว่า พฤติกรรมการรับประทานอาหารมีผลมาก ดังนั้น ควรปรับการบริโภค ลดอาหารรสชาติเค็มมากๆ เพราะทำให้ไตทำงานหนักขึ้น และค่อยๆเสื่อมเร็วกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม การกินของเค็ม ยังมีผลต่อการเกิดความดันโลหิตสูง และความดันโลหิต มีผลต่อเส้นเลือดสมอง เส้นเลือดหัวใจ และเส้นเลือดเลี้ยงไต

ดื่มน้ำสะอาดดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องน้ำด่าง

ส่วนเรื่องการดื่มน้ำนั้น  ผศ.นพ.คณิน แนะนำว่า  ควรเป็นน้ำเปล่าน้ำสะอาดดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำด่าง น้ำอะไรเพิ่มเติม ส่วนปริมาณการดื่ม คนทั่วไปควรดื่มวันละ 2 ลิตร หรือ 6-8 แก้วต่อวัน แต่หากป่วยไตระยะหลังๆ อย่างระยะที่ 4 และ 5  จะดื่มน้ำเยอะไม่ได้ แต่ให้สังเกตดังนี้  หากปัสสาวะเยอะ สามารถดื่มมากกว่าปัสสาวะได้ครึ่งงิตร ยกตัวอย่าง  หากปัสสาวะ 1 ลิตร ให้ดื่มน้ำ 1 ลิตรครึ่ง

ลด “หวาน มัน ไขมัน” ชะลอไตเสื่อม

นอกจากนี้ ขอย้ำว่า อาหารเค็มน้อยจะเป็นประโยชน์ต่อไตมาก และต้องไม่หวานเกินไป และรับประทานอาหารไขมันต่ำ จะเป็นผลดีต่อไต  สิ่งสำคัญคือ เน้นการปรับพฤติกรรมการบริโค งดเค็ม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพออย่างน้อย 2 ลิตร และตรวจค่าไตอย่างต่อเนื่อง

“นอกจากอาหาร ยังมีเรื่องการควบคุมโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมัน หากคุมได้ดี ไตก็จะดีขึ้นตามได้” อายุรแพทย์โรคไตฯ กล่าว และว่า ขอเตือนเรื่องการรับประทานวิตามิน หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สมุนไพรต่างๆ หากจะรับประทานขอให้นำไปให้แพทย์ประเมินก่อนว่า ทานได้หรือไม่ เพราะพวกนี้อาจมีผลต่อยาที่เรากินอยู่ด้วยเช่นกัน” ผศ.นพ.คณิน กล่าวทิ้งท้าย

 

จากความรู้ดังกล่าว หมั่นสังเกตอาการตนเอง และทางที่ดีป้องกันก่อนป่วยดีที่สุด