ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

“หมอธีระวัฒน์” เดือดหลังแพทย์ในงานเสวนาโควิด19 เมื่อเร็วๆนี้ เผยข้อมูลไม่จริง! ปมวัคซีนโควิด mRNA  ไม่ก่อผลกระทบ ทั้งที่รายงานข้อมูลอันตรายต่อร่างกาย ชี้มีผู้ป่วยหลายรายรับผลกระทบแล้ว

ตามที่ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย และสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเวทีเสวนาเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ถกประเด็นผลกระทบของโรคและความจำเป็นในการดูแลป้องกันสำหรับประชากรกลุ่มเสี่ยง รวมถึงระบุถึงความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา

(ข่าว : แพทย์ย้ำ! วัคซีนโควิดยังสำคัญในกลุ่มเปราะบาง พร้อมยันข้อมูลตามสถาบันมะเร็งแห่งชาติ

ล่าสุดวันที่ 11 ตุลาคม   ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออกมหาวิทยาลัยรังสิต ให้ข้อมูลว่า วัคซีนป้องกันโควิด19 มีรายงานก่อผลกระทบต่อร่างกาย และเป็นไปตามที่ตนเคยโพสต์ข้อมูลต่างๆ ผ่านเฟซบุ๊กของตนเองมาตลอด “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” ซึ่งสามารถนำข้อมูลไปใช้เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะได้ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ข้อมูลที่ทางการออกมายืนยันไม่มีรายงานผลกระทบ ไม่ก่อมะเร็งนั้น ไม่จริง เพราะขณะนี้มีผู้ป่วยหลายรายได้รับผลกระทบแล้ว และเร็วๆนี้จะมีข้อมูลจากผู้ป่วยออกมาอีก

ยกตัวอย่าง มีรายละเอียดระบุว่า IgG4 เป็นชนิดหนึ่งของอิมมูโนกลอบูลิน ที่มีจำนวนน้อย และถ้ามีจำนวนมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น จะทำให้ระบบต่อสู้เชื้อโรคของมนุษย์ที่เป็นระบบนักฆ่าอ่อนแอ ในเวลาที่ผ่านมาพบว่าปริมาณ IgG4 ทั้งหมด รวมทั้งที่เจาะจงที่ส่วนของโปรตีนหนามของวัคซีนโควิด S1 เพิ่มขึ้นจาก 3 ถึง 4% ตามปกติ เป็น 10 เป็น 25 และมากกว่า 50 ถึง 60% หลังจากที่ฉีดไปหนึ่ง สอง และสามเข็มของ mRNA  เป็นที่มาจากการศึกษาหลายชิ้นรวมทั้งรายงานนี้ในวารสาร BMC Immunity & Ageing 14 กันยายน 2024

ทั้งนี้โดยตั้งคำถามสำคัญว่า คนที่สูงวัย อายุมากกว่า 65 ปี จนถึง 84 ปี ที่ถูกจัดเป็นประเภทกลุ่มเปราะบาง และต้องได้วัคซีนโควิดครบ และต้องมีการฉีดกระตุ้นอยู่ตลอด

แท้จริงแล้ว จะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ และจะมีผลในทางลบนั่นก็คือทำให้ร่างกายต้านทานเชื้อโรคแย่ลงหรือไม่ ทั้งนี้โดยการวัดระดับของ IgG ทุกชนิด 1-4 และ IgG จำเพาะต่อโควิด และจากการที่ IgG4 มีอิทธิพลต่อ ระบบนักฆ่า ทั้ง NK และ เซลล์อื่นๆ ที่สามารถกลืนกัดกิน ย่อย เชื้อโรค รวมระบบ complement

ผลปรากฏว่า ในกลุ่มสูงอายุขึ้นนี้เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอายุต่างๆ ตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เมื่อฉีดไปตั้งแต่เข็มที่หนึ่งจนกระทั่งหลังเข็มที่สาม ระบบป้องกันภัย innate ที่เป็นตัวสำคัญแนวหน้าป้องกันการรุกรานโดยสามารถทำงานได้ทันทีในระยะเวลาเป็นชั่วโมงและไม่จำเพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นเชื้อไหน  ทั้งหมดของระบบดังกล่าวอ่อนแอมากกว่าก่อนฉีด และแปรตาม IgG4 ที่เพิ่มขึ้น โดย กระทบ Fc-mediated antibody effector functionality

ข้อมูลของการศึกษานี้มีผลเช่นเดียวกับการศึกษาก่อนหน้านั้น ในคนอายุน้อย และผู้รายงานเหล่านี้สรุปในทิศทางเดียวกันว่าวัคซีนจำเป็นต้องมีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและไม่ด้อยค่าระบบป้องกันภัยของร่างกายโดยจะกลายเป็นภาวะเกี่ยวพันลูกโซ่ที่ทำให้ติดโรคง่ายหรือทำให้เชื้อดั้งเดิมเช่นเริม งูสวัด(คือไข้อีสุกอีใสเดิมที่หายแล้วแต่ซ่อนตัวอยู่) กลับปะทุขึ้น

อนี่ง เราได้เคยรายงานก่อนหน้านี้ ในคนที่ติดโควิดและยังไม่ได้ฉีดวัคซีนใด ในผู้ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งหมด และมีการกระตุ้นระบบนักฆ่า complement ตั้งแต่ต้น (s C5b-9) พบว่าไม่มีผู้ใดเสียชีวิต ทั้งนี้ระบบนักฆ่า ที่ทำให้มีการอักเสบถูกที่ถูกเวลาตั้งแต่ต้นเป็นผลดี

นอกจากนั้นยังมีกลไกอีกมากมายที่พิสูจน์แล้วว่าวัคซีนโควิดแม้ว่าจะปรับแต่งให้เป็นต่อสายพันธุ์ล่าสุดก็ตาม แต่ระบบภูมิคุ้มกันในมนุษย์กลับตอบสนองต่อต้นสายกำเนิดอู่ฮั่นทำให้ภูมิแทบจะไม่มี (hybrid immune damping) และยังทำให้ไม่เกิดมี long lived plasma cell ที่ทำให้ยังมีภูมิอยู่นาน เลยบริษัทต้องให้มนุษย์ต้องฉีดทุกสามเดือน

และเมื่อฉีดมากเข็มตัวโครงสร้างของวัคซีนเอง การแปลรหัสการสร้างโปรตีน การคงอยู่ในมนุษย์ได้นานกว่าตัวไวรัส จากอนุภาคนาโนไขมันเอง และมีการบงการให้สร้างสิ่งที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆ เลยทำให้เกิดภาวะแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกันมากไป น้อยไป การอักเสบในตัวเซลล์และเนื้อเยื่ออวัยวะเฉพาะที่ เช่นในหัวใจ ตายกระทันหันเฉียบพลันในคนอายุน้อย โรคสมองเสื่อม สมองอักเสบ ภาวะแปรปรวนทางจิตอารมณ์และรายงานการตรวจชันสูตรศพจากการ ฉีดวัคซีน ระบุขั้นตอนกลไกเหล่านี้อย่างละเอียดแล้ว 

(รายงานในวารการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ ได้ระบุสิ่งเหล่านี้แล้ว) https://immunityageing.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12979-024-00466-9

นอกจากนี้ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ยังเผยแพร่ข้อมูล มะเร็ง ปะทุใหม่หลังฉีดวัคซีนจากที่สงบไปนาน

การปะทุของมะเร็ง “ที่สงบไปแล้ว” โดยทำการตรวจสอบด้วย PET scan โดย tracer พิเศษพบต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ ข้างเดียวกับที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ มีการแสดงออกของ PDL-1 (programmed cell death ligand-1) และมีผลทำให้มองไม่เห็นมะเร็งหรือมะเร็งซ่อนตัวจากระบบเซลล์ภูมิคุ้มกัน ทำให้ทำลายไม่ได้

PDL-1 อยู่บนผิวเซลล์ของเม็ดเลือดขาวเช่น T เชลล์ และอยู่บนเซลล์มะเร็งด้วย โดยทำหน้าที่ ในการลดการตอบสนองในการทำลายเซลล์มะเร็ง

https://ejhi.springeropen.com/.../10.1186/s41824-024-00196-7

รายงาน 7 มิถุนายน 2024 วารสาร European Journal of Nuclear Medicine and Molecular Imaging

ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา

ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก

มหาวิทยาลัยรังสิต