คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก ม.รังสิต เสนอ “สมศักดิ์” ชงร่างประกาศคุม “ช่อดอก ยาง สารสกัดของกัญชา” เป็นยาเสพติดแบบมีเงื่อนไข  เช่น เปิดเสรีแพทย์ทุกวิชาชีพใช้ได้   ผู้ป่วยมีใบสั่งยาจากแพทย์ทุกสาขาเข้าถึงได้ ชงตั้งคกก.ศึกษาหาข้อยุติทางวิชาการ เชื่อเป็นทางเดียวลดขัดแย้ง “เพื่อไทย” และ “ภูมิใจไทย”  

จากกรณีคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เห็นชอบ (ร่าง)ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ...โดยกำหนดให้ ช่อดอก “กัญชากัญชง” และสารสกัดที่ THC เกิน0.2 %เป็นยาเสพติด และเตรียมเสนอเข้าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(บอร์ดป.ป.ส.)พิจารณาชี้ขาดนำกลับคืนเป็นยาเสพติดอีกครั้ง ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2568 ขณะที่เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย กลุ่มที่คัดค้านการนำกลับเป็นยาเสพติด ยังคงปักหลักชุมนุม และอดอาหาร หน้าทำเนียบรัฐบาล

ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม  ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)  นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เข้ายื่นหนังสือถึงนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผ่านนายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข

โดยนายกองตรี ธนกฤต กล่าวว่า ในส่วนของข้อเสนอวันนี้จะมีการรับและพิจารณาตามข้อกฎหมาย ก่อนจะส่งให้รมว.สาธารณสุขพิจารณาต่อไป ในส่วนของประชาชนที่มีความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหากัญชา กัญชง รวมถึงเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ที่ปักหลักชุมนุมอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล  ก็สามารถมายื่นข้อเรียกร้องที่ตนได้เช่นกัน เพื่อนำมาประมวลผลและส่งให้รมว.สารณสุขพิจารณา

พ้อเป็นเสียงข้างน้อยในบอร์ดควบคุมยาเสพติดฯ

นายปานเทพ ให้สัมภาษณ์ ว่า ตนเป็นคณะกรรมการยาเสพติดเสียงข้างน้อยในที่ประชุมคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษ  ที่ไม่เห็นด้วยในการนำกัญชาเป็นยาเสพติด ซึ่งตนเคารพมติที่ประชุม เพราะเราทำตามกระบวนการ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็มีความเป็นห่วงว่า การเอาช่อดอก “กัญชากัญชง” เป็นยาเสพติด อาจจะมีปัญหาตามมาได้ เพราะตอนนี้สังคมแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ใช้ก็ต่อต้านกัญชา ไม่อยากให้ใช้

มีเพียง 1% หมอยอมจ่ายกัญชาทางการแพทย์

ส่วนผู้ที่ใช้ประโยชน์ทั้งผู้ป่วย ผู้ประกอบการ ทำให้มีความคิดแตกต่างกันในการเอาไปเป็นยาเสพติด จะมีหลายอย่างทำไม่ได้ มีความกังวลเหมือนเมื่อปี 2564 หมอไม่จ่ายกัญชาให้ผู้ป่วย หมอจ่ายจริงเพียง 1% เท่านั้น  ทำให้กว่า 84% ต้องไปใช้กัญชาใต้ดิน กลายเป็นคนทำผิดกฎหมาย มีคนใช้กัญชาถูกกฎหมายเพียง 16% อย่างไรก็ตาม คนที่ใช้ 84% กลับพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงโดยดีขึ้นมาก 38.6 % และดีขึ้น 54.8 % นี่คือชาวบ้านใช้เป็น

ประมวลกม.ยาเสพติด มีปม “เภสัชกร”

“ในประมวลกฎหมายยาเสพติดมีเรื่องน่าห่วง กรณีเภสัชกร โดยเพิ่มว่า หากเป็นผู้ได้รับอนุญาตผลิตหรือจำหน่าย ต้องมีเภสัชกรประจำการ และต้องดูแลให้เภสัชฯปฏิบัติหน้าที่ และหากผู้รับอนุญาตผลิตหรือจำหน่ายกัญชา ระหว่างเภสัชฯไม่อยู่ทำการ จะมีโทษปรับเป็นหลักหมื่นหลักแสน ซึ่งคำนิยามผลิต หมายถึง เพาะปลูกด้วย แสดงว่า ต้องหาเภสัชฯมาอีก แต่รายใหญ่ทำได้” นายปานเทพ กล่าว

5 หลักการร่างประกาศใหม่ "กัญชา" เป็นยาเสพติดมีเงื่อนไข

นำเสนอทางเลือกใหม่ร่างประกาศใหม่กำหนด “ช่อดอก ยาง สารสกัดของกัญชา” เป็นยาเสพติดแต่มีเงื่อนไข 5 ข้อ ใครทำถูกต้องได้รับการคุ้มครอง เปิดเสรีแพทย์ทุกวิชาชีพใช้ได้ ไม่กีดกัน ผู้ป่วยมีใบสั่งยาจากแพทย์ทุกสาขาเข้าถึงได้ ชงตั้งคกก.ศึกษาจากทุกฝ่ายหาข้อยุติทางวิชาการ

นายปานเทพ กล่าวอีกว่า วันนี้ตนจึงนำเสนอทางเลือกใหม่ เป็นร่างประกาศยาเสพติด ที่ตนร่วมกับนายคมสัน โพธิ์คง ซึ่งเป็นนักกฎหมาย  โดยร่างกฎหมายนี้ จะให้ “ช่อดอก ยาง และสารสกัด” ของกัญชาเป็นยาเสพติดได้ แต่มีเงื่อนไข โดยมี 5 หลักการสำคัญ ดังนี้

1.ให้ช่อดอกกัญชา ยาง สารสกัด กลับไปเป็นยาเสพติดอย่างมีเงื่อนไข ผู้ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายจะได้รับการคุ้มครอง ส่วนคนที่ทำผิดกฎหมาย เช่น ร้านลักลอบนำเข้า การจำหน่ายให้เด็ก เยาวชน การเปิดร้านขายโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ทำตามเงื่อนไข ต้องมีบทลงโทษ ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด  และทำได้ทันที ไม่ต้องรอวันที่ 1 มกราคม 2568

2. ต้องเปิดเสรีการแพทย์ในทุกวิชาชีพ โดยไม่กีดกั้นเหมือนที่ผ่านมา แพทย์ทุกสาขาต้องมีเสรีภาพในการจ่ายกัญชา โดยรับผิดชอบ และติดตามผล ซึ่งแต่ละวิชาชีพมีสภาวิชาชีพกำกับอยู่แล้ว

3. ผู้ป่วยที่มีใบสั่งยาจากแพทย์ ทุกสาขาอาชีพ ต้องเข้าถึงยากัญชาได้ ร้านกัญชาก็ไม่ต้องปิดตัว แต่ต้องปรับตัวเป็นสถานที่จำหน่ายสมุนไพรควบคุม สำหรับผู้ป่วยที่มีใบสั่งยาจากแพทย์ทุกสาขาอาชีพ

4.สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ผู้ประกอบการ โดยผลิตภัณฑ์ที่มี “ช่อดอกกัญชา ยาง หรือสารสกัด” ต้องทำตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นพ.ร.บ.สมุนไพร,  พ.ร.บ.อาหาร,  พ.ร.บ.ยา,  พ.ร.บ.เครื่องสำอาง  

5.  เมื่อเกิดวิกฤติของเวลากับปัญหาที่สังคมห่วงใย ก็สามารถแก้ได้ทันที ไม่ต้องรอวันที่ 1 มกราคม 2568  แต่ต้องลงรายละเอียดในปัญหาที่ละเอียดอ่อนเรื่องสิทธิประชาชนในการปลูก เพื่อการพึ่งพาตัวเอง ซึ่งคนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์  และจึงควรตั้งคณะกรรมการศึกษาจากทุกฝ่าย เพื่อหาข้อยุติทางวิชาการที่ยังขัดแย้งกัน เพื่อการปรับปรุงเงื่อนไขให้ได้ดีขึ้น ก่อนวันที่ 1 ธันวาคม 2567 หรือเร่งการตรา พ.ร.บ.กัญชา กัญชงในสภาผู้แทนราษฎร ควบคู่กันไป

 

 

นายปานเทพ กล่าวย้ำว่า  ถ้า รมว.สาธารณสุข เห็นชอบก็สามารถทำได้ และมีสิทธิขอคำเสนอแนะเพิ่มเติมต่อคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษได้ โดยการส่งกลับ พิจารณาทบทวน ท่านจะได้ไม่ผิดสัจจะในการเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด เพียงแต่เอากลับไปเป็นยาเสพติแบบมีเงื่อนไข และมองเห็นคนทุกกลุ่ม ให้มีพื้นที่ตามกฎหมาย  เริ่มขั้นตอนการประชาพิจารณ์ และนำกลับเข้าที่ประชุมคณะกรรมการยาเสพติดอีกครั้ง ซึ่งเป็นช่องที่ยังอยู่ในอำนาจของทางกระทรวงสาธารณสุข แต่ถ้าไปที่ป.ป.ส.แล้ว อำนาจไม่ได้อยู่ที่คณะกรรมการอาหารและยา แล้ว แต่เป็นอีกหน่วยงาน เราเห็นว่า ควรเป็นขั้นตอนที่เราสามารถทบทวน หรือวิเคราะห์ได้ในชั้นกระทรวงสาธารณสุข

“ผมเลยอาศัยช่องทางนี้ เผื่อเป็นโอกาส และทางเลือก และเชื่อว่าเป็นช่องทางเดียวที่จะลดความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมือง ด้วยข้อสำคัญ 2 ข้อ พรรคเพื่อไทย ไม่เสียสัจจะ กรณีที่จะเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด เพียงแต่มีเงื่อนไข คนทำผิด ต้องถูกลงโทษ ส่วนพรรคภูมิใจไทยก็ไม่เสียในเรื่องที่เคยทำมาคือการทำเป็นสมุนไพรควบคุม สามารถต่อยอด ใช้ประโยชน์ได้ สร้างเศรษฐกิจมาแล้วก็ไม่ถูกทำลายไป เพียงแต่ต้องมีการปรับตัว   ภายใต้เงื่อนไขนี้ รัฐบาลก็จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน สามารถเดินหน้าได้ด้วยการถอยคนละก้าว” นายปานเทพ กล่าว

 

เปิดร่างประกาศฯใหม่ 4 ข้อ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปานเทพ ได้ยื่นข้อเสนอดังกล่าว พร้อมด้วย(ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ... ซึ่งเป็นการจัดทำร่างฉบับใหม่ ที่แตกต่างจาก(ร่าง) ฉบับเดิมที่คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เห็นชอบไปก่อนหน้านี้ โดยสาระใน(ร่าง)ประกาศ ให้กัญชาหรือที่มีชื่ออื่นในสกุลเดียวกัน เฉพาะ “ช่อดอก ยางและสารสกัด” เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้ ไม่เป็นยาเสพติดให้โทษ คือ

1.ช่อดอก ยางและสารสกัด ที่ถูกใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการรักษา โดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรมต่างๆ

2.ช่อดอก ยางและสารสกัด ที่เป็นวัตถุดิบหรือสารประกอบของผลิตภัณฑ์สมุนไพรตามตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยาตามกฎหมายว่าด้วยยา อาหารตามกฎหมายว่าด้วยอาหาร กฎหมายว่าด้วยเครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์อื่นใดที่มีกฎหมายเฉพาะ รวมถึงการนำเข้า ส่งออก การขายและการโฆษณาซึ่งผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามกฎหมายนั้น

3.ช่อดอกและยาง ที่ได้มาจากการปลูกภายในประเทศของผู้ที่ได้รับอนุญาตและเป็นผู้ปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องสมุนไพรควบคุม

4.สารสกัดจากกัญชาที่ปลูกภายในประเทศเฉพาะที่ได้รับอนุญาตให้สกัดที่ไม่ใช่สารสกัดในข้อ 2 และ3 ซึ่งมีปริมาณสารTHC ไม่เกินปริมาณ 0.2 % โดยน้ำหนัก

นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ในร่างประกาศใหม่ มีข้อความ อยู่ในพ.ร.บ.พืชกระท่อมของรมว.สมศักดิ์ ซึ่งมีความชาญฉลาดมากที่ใช้ข้อความนี้ในการแยกออกจากกฎหมายปกติ ตนจึงขอลอกข้อความมาใช้แบบเดียวกัน ในหลักการเดียวกัน ถ้าใช้กับพืชกระท่อมได้ ก็ต้องใช้ได้ในพืชกัญชา

(ข่าวเกี่ยวข้อง : บอร์ดยาเสพติดฯ ไฟเขียว "กัญชา" เป็นยาเสพติด คาดสัปดาห์หน้า! ส่งไม้ต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ส.)