กรมควบคุมโรค เผย 3 โรคระบาด ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2567 เตรียมรับมือเน้นย้ำมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเฝ้าระวังโรคที่พบบ่อยในช่วงฤดูร้อนพบสูงสุดเดือน เม.ษ. พร้อมแนะปชช.ตรวจสอบข้อมูลโรคก่อนเดินทางไปตปท. เพื่อป้องกันอย่างเหมาะสม
วันนี้ 27 มีนาคม 2567ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แพทย์หญิงจุไร วงศ์สวัสดิ์ และนายแพทย์ วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และโฆษกกรมควบคุมโรค ร่วมดําเนินการแถลงข่าวในหัวข้อ “อยู่อย่างไร ให้ห่างไกลโรค” ปี 2567 ซึ่งกรมควบคุมโรคได้รวบรวมสถานการณ์โรคติดต่อสําคัญที่ต้องเฝ้าระวัง และโรคที่พบบ่อย ในช่วงฤดูร้อน รวมถึงภัยสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงนี้ ดังนี้
แพทย์หญิงจุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวถึง โรคที่อาจเกิด การระบาดในปี 2567 นี้ ได้แก่ 1. โรคไข้หวัดใหญ่ พบผู้ติดเชื้อได้ทุกกลุ่มอายุ ตั้งแต่ต้นปีพบผู้ป่วยแล้วกว่า 90,000 ราย แนะนําประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ หรือ มีโรคประจําตัว ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ปีละ 1 ครั้ง หากป่วยให้หยุดอยู่บ้านพักผ่อนจนกว่าจะหาย
2. โควิด 19 ยังคงเป็นโรคที่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ หรือ มีโรคประจําตัว หากป่วยจะมีอาการรุนแรง ตั้งแต่ต้นปีพบผู้ป่วยแล้วกว่า 6,000 ราย เน้นประชาชนควรยังคงรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด หากไปในสถานที่ปิดหรือแออัด ควรสวมหน้ากาก อนามัย และล้างมือบ่อยๆ
3. โรคไข้เลือดออก ตั้งแต่ต้นปีพบผู้ป่วย 20,590 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็ก 5-14 ปี ขอความร่วมมือประชาชนให้ช่วยกันสํารวจและทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ตามมาตรการ 3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค (โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนย่า โรคติดเชื้อไวรัสซิกา) อย่างต่อเนื่อง หากมีอาการสงสัยป่วย ไข้เลือดออก เช่น มีอาการไข้สูงลอย คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง มีผื่น มีจุดเลือดที่ลําตัว ไม่ซื้อยามารับประทานเอง ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
สำหรับโรคติดต่อสําคัญที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ 1.โรคหัด ในปีนี้ผู้ป่วยโรคหัดมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ต้นปี ซึ่งมีรายงานผู้ป่วยสงสัย 503 ราย ผลยืนยันโรคหัด 214 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กเล็ก 1-4 ปี แนะนําผู้ปกครอง พาเด็กเล็กเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคหัดให้ครบตามกําหนด 2.โรคไอกรน ตั้งแต่ต้นปีพบผู้ป่วยโรคไอกรนเสียชีวิตแล้ว 7 ราย ส่วนใหญ่เป็นในเด็กเล็ก จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากในหลายพื้นที่มีความครอบคลุม การฉีดวัคซีนต่ํา แนะนําพาบุตรหลานเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคไอกรนตามกําหนด สําหรับเด็กควรรับวัคซีน DTP อย่างน้อย 3 เข็ม และควรฉีดให้หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไป
3. โรคติดเชื้อไวรัสซิกา ตั้งแต่ต้นปี พบผู้ป่วยแล้ว 101 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ 30-39 ปี เน้นโดยเฉพาะสําหรับหญิงตั้งครรภ์ หากมีอาการไข้ตาแดง ผื่น ให้รีบไปพบแพทย์ 4. วัณโรค ยังคงเป็นโรคติดต่อที่อันตราย โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา มีรายงานผู้ป่วยวัณโรค รายใหม่ 111,000 ราย ขอแนะนํากลุ่มเสี่ยงที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย (รวมเด็ก) หรือไอติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์ ควรรีบไป พบแพทย์เพื่อเอกซเรย์ปอดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
นายแพทย์วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวต่อว่า โรคและภัยสุขภาพในช่วงฤดูร้อน ได้แก่ 1.โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ํา อาทิเช่น โรคอาหารเป็นพิษ โรคอุจจาระร่วง เฉียบพลัน โรคไวรัสตับเสบเอ และโรคไข้ไทฟอยด์ หรือโรคไข้รากสาดน้อย เป็นต้น ซึ่งอากาศที่ร้อนเหมาะแก่การ เจริญเติบโตของเชื้อโรคหลายชนิด ส่งผลให้อาหารบูดเสียได้ง่าย เมื่อเรารับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป ทําให้ป่วยเป็นโรคดังที่กล่าวมา สําหรับการป้องกัน ขอให้ประชาชนตระหนักถึงสุขอนามัย ล้างมือทุกครั้งก่อน รับประทานอาหาร ก่อนปรุงประกอบอาหาร และหลังเข้าห้องน้ํา ขอให้รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ อาหารค้างคืน ควรอุ่นร้อนก่อนรับประทาน ทั้งนี้โรคไวรัสตับอักเสบเอ สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน สามารถฉีดให้เด็กได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป จํานวน 2 ครั้ง ห่างกัน 6-12 เดือน
2. ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในช่วงนี้มีหลายพื้นที่ที่พบปัญหา สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน ขอให้ประชาชนปิดบ้านให้มิดชิด เมื่อออกจากบ้านให้ตรวจเช็กค่าฝุ่น PM2.5 หากค่าฝุ่นเกิน 37.5 mg/m3 ให้สวมหน้ากากสําหรับป้องกันฝุ่น ใช้เวลาอยู่ภายนอกในระยะสั้นๆ และสําหรับผู้ป่วย 4 กลุ่มโรค โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบทางเดินหายใจ โรคผิวหนังอักเสบ และโรคตาอักเสบ ไม่ควรออกจาก บ้านเพราะอาจเสี่ยงอาการรุนแรงขึ้น รวมถึงต้องต้องระวังอย่างมากในเด็ก เช่นกัน
3. การจมน้ํา สถานการณ์ การจมน้ํายังคงมีความเสี่ยงสูง ซึ่งในช่วงหน้าร้อนมีเด็กอายุต่ํากว่า 15 ปี เสียชีวิตจากการจมน้ําสูงที่สุด ส่วนใหญ่ เกิดจากเด็กชวนกันไปเล่นน้ํา ขาดความรู้เรื่องกฎความปลอดภัยทางน้ํา ทักษะการเอาชีวิตรอด และวิธีการช่วยเหลือ คนตกน้ําที่ถูกต้อง จึงขอให้ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด เมื่อไปใกล้แหล่งน้ําให้สวมอุปกรณ์ เช่น เสื้อชูชีพหรือมีอุปกรณ์ช่วยลอยน้ําอย่างง่ายให้เด็กไว้กับตัวตลอดเวลา โรคติดเชื้อสเตรปโตคอคคัส ชนิด เอ
นอกจากนี้ ขอแนะนําประชาชนที่จะเดินทางไปต่างประเทศ ควรตรวจสอบข้อมูลโรคที่เกิดการระบาด ในประเทศปลายทาง เช่น โรคแอนแทรกซ์ พบผู้ป่วยในประเทศลาว โรคไข้หวัดนก พบผู้ป่วยประเทศกัมพูชา จีน พบในประเทศญี่ปุ่น และโรคหัด พบการระบาดในทวีปยุโรปหลายประเทศ เป็นต้น หากจะเดินทางไป ควรศึกษาวิธีป้องกันตนเองอย่างเหมาะสม รวมถึงการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ที่สาคร่งครัด ยังคงมีความจําเป็นทั้งนี้ กรมควบคุมโรค จะยังคงมาตรการและดําเนินการเฝ้าระวังโรคและภัยสุขภาพ กรมควบอย่างต่อเนื่อง และเตรียมการรับมือเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1422
- 6365 views