กระทรวงสาธารณสุข ประชุมวิดีโอทางไกลกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ ให้เตรียมพร้อมเฝ้าระวังดูแลสุขภาพผลกระทบปริมาณค่าฝุ่นละออง PM 2.5 หลังสถานการณ์ค่าฝุ่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น พร้อมเร่งสื่อสารประชาชนปรับกิจกรรมการดำเนินชีวิต เพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เจ็บป่วย

วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2566) ที่ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอ กับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ ในการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณี หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก และให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจาก นายแพทย์โอภาส การ์ยกวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นประธานการประชุม เพื่อชี้แจงสถานการณ์และแนวโน้มค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กในปี 2566 ซึ่งสถานการณ์ค่าฝุ่น PM2.5 ขณะนี้ของประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยตั้งแต่ 1 พ.ย. 2565 – 3 ก.พ. 2566 พบว่ามีหลายจังหวัดที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐานหลายวัน เช่น กทม. พบถึง 35 วัน เชียงใหม่ 20 วัน สมุทรสงคราม 17 วัน นครพนม 16 วัน และราชบุรี 14 วัน เป็นต้น 

ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้มอบข้อสั่งการ 7 ข้อ ให้กับพื้นที่ได้นำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ดังนี้ 1. เฝ้าระวังและแจ้งเตือนสถานการณ์ รวมถึงสื่อสารข้อมูลผลกระทบ การปฏิบัติตนการดูแลสุขภาพในรูปแบบต่างๆ ตามความเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ เพื่อยกระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ พร้อมทั้งเร่งสื่อสารเชิงรุก สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน ทั้งการดูแลและป้องกันสุขภาพ ผ่านทุกช่องทาง ทั้งสื่อบุคคลเสียงตามสาย ช่องทางออนไลน์โซเชียลมีเดีย และช่องทางต่าง ๆ โดยให้ กรมอนามัย กรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ และกองสาธารณสุขฉุกเฉิน เป็นหน่วยงานหลักร่วมบูรณาการจัดทำชุดข้อมูลความรู้สำหรับประชาชน 

2. เตรียมความพร้อมในการดูแลและป้องกันความเสี่ยงต่อสุขภาพ สำรวจและจัดทำทะเบียนกลุ่มเสี่ยง ติดตาม ดูแลกลุ่มเสี่ยงเป็นพิเศษ โดยทีมหมอ 3 หมอ และลงพื้นที่ให้ความรู้คำแนะนำในการป้องกันตัว และดูแลสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะ 4 กลุ่มเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคระบบทางเดินหายใจ และผู้ป่วยติดเตียง พร้อมเปิดคลินิกมลพิษที่สถานพยาบาล คลินิกมลพิษออนไลน์และคลินิกมลพิษเคลื่อนที่ สนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล จัดเตรียมห้องปลอดฝุ่นในสถานบริการสาธารณสุข โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก สถานที่ดูแลผู้สูงอายุ สำรวจกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ป่วยด้วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคหืดและโรคหัวใจขาดเลือด และให้การดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ 

3. เฝ้าระวังการเจ็บป่วยใน 4 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบผิวหนัง และระบบตา และรายงานผู้ป่วยที่มารับการรักษาในสถานพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ตามเกณฑ์ที่กรมควบคุมโรคกำหนด 4. เตรียมความพร้อมเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในทุกระดับ ทั้งจังหวัด เขตสุขภาพ กรม และกระทรวง เพื่อติดตามสถานการณ์และยกระดับการปฏิบัติการ หากสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น 5.กรณีสถานการณ์วิกฤต (สีแดง) ที่มีค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน 51ขึ้นไป มคก./ลบ.ม. ติดต่อกัน 3 วัน ให้รายงานสถานการณ์ทุกสัปดาห์ ตลอดช่วงเวลาเฝ้าระวัง 6. จัดกิจกรรมองค์กรปลอดฝุ่นในสำนักงานและสถานบริการในสังกัด เพื่อเป็นต้นแบบองค์กรลดฝุ่นละออง และ7. สนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการใช้ พรบ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นเครื่องมือสนับสนุนการลดฝุ่นละอองขนาดเล็กจากแหล่งกำเนิดในพื้นที่ และการจัดการเหตุรำคาญจากฝุ่นละออง

“ขอให้ทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์ และเร่งสื่อสารประชาชนในพื้นที่ในการปฏิบัติตน มาตรการและกิจกรรมต่างๆ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน อาทิ สวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้าน เลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้ง เพื่อลดปัจจัยเลี่ยงที่จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยจากฝุ่น PM 2.5 ได้ พร้อมให้คำแนะนำการลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ เช่น การจุดธูป การเผาขยะ รวมถึงหมั่นดูแลทำความสะอาดบ้านให้ปลอดฝุ่นอยู่เสมอ โดยประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์ค่าปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 แนวทางปฏิบัติตน ค้นหาห้องปลอดฝุ่นและคลินิกมลพิษ รวมทั้งปรึกษาแพทย์ออนไลน์ ได้ผ่านทาง Line Official 4Health หรือเว็ปไซต์ กองประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ กรมอนามัย https://4health.anamai.moph.go.th/ หรือ เว็บไซต์คลินิกมลพิษออนไลน์ https://www.pollutionclinic.com/home/front/” นายแพทย์ณรงค์กล่าว