รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบมาตรการรองรับการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยผู้เดินทางจากประเทศที่กำหนดให้มีผลตรวจ RT-PCR ขากลับ ต้องมีประกันสุขภาพโควิดวงเงิน 1 หมื่นเหรียญ พร้อมเห็นชอบให้บริการวัคซีนโควิดชาวต่างชาติตามสมัครใจ และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 รองรับการเดินทางเข้าประเทศ เพื่อให้การทำงานไร้รอยต่อ
เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2566 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และคณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
นายอนุทิน กล่าวว่า ปัจจุบันไม่มีศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) การควบคุมป้องกันโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังกลับมาอยู่ภายใต้อำนาจ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 จึงประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือแนวทางการดำเนินงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและทันสถานการณ์ ซึ่งตั้งแต่ประเทศไทยได้ผ่อนคลายมาตรการและเปิดรับผู้เดินทางจากทั่วโลก มีการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ สายการบินมีคนเดินทางมากขึ้น 80% ทำให้ธุรกิจต่างๆ กลับมา พลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศและมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดที่จีนมีการเปิดประเทศเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2566 ก็ได้มีการหารือเตรียมพร้อมรองรับให้การเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนมีความสะดวกและปลอดภัย ทั้งแก่ผู้เดินทางและประชาชนในประเทศ ซึ่งจากตรวจเยี่ยมที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากจีนเที่ยวบินแรก ผู้ที่เดินทางมายิ้มแย้มแจ่มใสและมีความสุขที่ได้มาเมืองไทย บรรยากาศของการท่องเที่ยวระหว่างประเทศปรับตัวดีขึ้นมาก แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวกำลังเพิ่มมากขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกด้วย ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา สถานการณ์เดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวจากจีนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับการประชุมในวันนี้ ได้เห็นชอบใน 3 เรื่อง คือ เรื่องแรก มาตรการรองรับการเดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 มี 3 เรื่องย่อย คือ
1. มาตรการด้านสาธารณสุข ในการป้องกันควบคุมโรค 19 ของประเทศไทยสำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศ ให้มีการบูรณาการความร่วมมือ ด้านการท่องเที่ยว คมนาคม ต่างประเทศ สาธารณสุขและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมดูแลนักท่องเที่ยวและมาตรการด้านสาธารณสุข เช่น เฝ้าระวังโรคกลุ่มผู้เดินทางที่มีอาการทางเดินหายใจให้ได้รับการตรวจด้วย ATK/PCR ตรวจสายพันธุ์ของเชื้อโควิด 19 เพิ่มกลไกการรายงานผ่านเว็บไซต์กรมควบคุมโรค เฝ้าระวังและตรวจสายพันธุ์ในน้ำเสียจากเครื่องบิน
2. แนวทางการทำประกันภัยสำหรับนักท่องเที่ยว เน้นผู้เดินทางจากประเทศที่กำหนดให้ขากลับประเทศต้นทางต้องมีผลตรวจ RT-PCR คือ จีนและอินเดีย โดยต้องมีประกันสุขภาพวงเงินไม่น้อยกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมการรักษาโควิด 19 ตลอดช่วงระยะเวลาที่อยู่ในประเทศไทยและบวกเพิ่มอีก 7 วัน กรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไทย (เงื่อนไขตามที่กำหนด) สำหรับผู้มาประกอบภารกิจ รวมถึงลูกเรือ นักเรียน อาจจะใช้หนังสือรับรองจากหน่วยงานเจ้าภาพหรือเอกสารแสดงถึงการมีประกันรูปแบบอื่นรับรองแทน โดยเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคติดต่อจะสุ่มตรวจเอกสารรับรองประกันสุขภาพของผู้เดินทางจากประเทศดังกล่าว หากพบว่าไม่มีเอกสารประกันสุขภาพ ผู้นั้นจะต้องซื้อประกันสุขภาพก่อนเข้าเมือง
3.แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพื่อป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 เน้นผู้ประกอบการท่องเที่ยวและประชาชนได้รับวัคซีนโควิดครบ 4 เข็ม เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการป้องกันการป่วยหนัก
นายอนุทินกล่าวต่อว่า เรื่องที่ 2 คือ การให้บริการวัคซีนโควิด 19 ในชาวต่างชาติ โดยให้มีการจัดระบบและกำหนดแนวทางการให้บริการวัคซีนโควิด 19 ตามความสมัครใจ และคิดค่าบริการที่เหมาะสม ภายใต้กลไก Medical hub โดยวัคซีนที่ให้บริการจะเป็นวัคซีนที่รัฐบาลไทยจัดซื้อมาเท่านั้น และมีจุดบริการฉีดวัคซีนสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในระยะนำร่อง แบ่งเป็น กทม.ได้แก่ สถาบันโรคผิวหนัง รพ.นพรัตนราชธานี รพ.เลิดสิน รพ.ราชวิถี ศูนย์การแพทย์บางรัก สถาบันบำราศนราดูร และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง, เชียงใหม่ ได้แก่ รพ.ประสาทเชียงใหม่, ชลบุรี ที่ศูนย์พัทยารักษ์, ภูเก็ต หน่วยบริการที่ดำเนินการโดย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ทั้งนี้ การบริหารจัดการวัคซีนให้คำนึงถึงปริมาณวัคซีนคงคลังที่จะไม่กระทบกับประชาชนไทยและให้จัดสรรวัคซีนให้แก่ประชาชนไทยเป็นลำดับแรก และ เรื่องที่ 3 คือ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 รองรับการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อให้มีกลไกการจัดการด้านสุขภาพ เศรษฐกิจและสังคม ดำเนินการอย่างบูรณาการ มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด มีการประสานงานมาตรการที่ใช้กับผู้เดินทางอย่างไร้รอยต่อ
"ภาพรวมในวันนี้ ประเทศไทยสามารถผ่อนคลายมาตรการป้องกันควบคุมโรค 19 ให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันได้ดี จำนวนผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยอาการหนัก และผู้เสียชีวิตลดลง อัตราครองเตียงระดับ 2 และ 3 ยังต่ำกว่า 6% แต่ที่ต้องเร่งรัดคือ การฉีดวัคซีนในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่ม 608 ซึ่งที่เสียชีวิตมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน ไม่ได้รับเข็มกระตุ้น หรือได้รับเข็มกระตุ้นนานเกิน 3 เดือน จึงต้องรณรงค์ให้รับวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม กระตุ้นทุก 4 เดือน เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน เพราะหากติดเชื้อจะไม่ป่วยรุนแรงและเสียชีวิต" นายอนุทินกล่าว
ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การเฝ้าระวังผู้เดินทางจากต่างประเทศที่มีอาการทางเดินหายใจ จะมีระบบสแกนโดยให้สายการบินช่วยสื่อสารข้อมูลหากมีอาการไม่สบาย เจ็บไข้ได้ป่วย อาการคล้ายโควิด ให้สามารถตรวจ เรามีห้องแล็บที่ด่านควบคุมโรคที่สนามบินสุวรรณภูมิ จะตรวจให้ฟรีว่าเป็นโควิดหรือไม่ และเก็บตัวอย่างส่งตรวจสายพันธุ์ สำหรับวัคซีนโควิด 19 ในปี 2566 จะเน้นฉีดบูสเตอร์ในกลุ่มเสี่ยง 608 ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน โดยวัคซีนที่เตรียมไว้มากกว่า 20 ล้านโดสเพียงพอสำหรับคนไทย และพอให้ต่างชาติที่ประสงค์จะเข้ารับบริการ เพราะส่วนใหญ่จะฉีดวัคซีนมาแล้ว ซึ่ง ททท.สำรวจพบว่ามีส่วนหนึ่งสนใจฉีด แต่ยังไม่รู้จำนวน เราเตรียมไว้ระดับหนึ่งที่เพียงพอ สำหรับเรื่องประกันสุขภาพของผู้เดินทาง อยากให้มีจำนวนวันที่เหมาะสมให้ครอบคลุมเพิ่มอีก 7 วัน และวงเงินคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นดอลลาร์ ซึ่งทราบว่ามีประกันของต่างประเทศที่ครอบคลุมอยู่แล้ว ส่วนประกันของบริษัทคนไทยเราอยากให้มีการทำแพคเกจเพื่อเวลาทำวีซ่าก็จะได้มีบริษัทของคนไทยให้เลือก ซึ่งสามารถซื้อผ่านออนไลน์ได้ ซึ่งขณะนี้มี 4 กรมธรรม์ที่ออกไปก่อนหน้านี้และครอบคลุมรายละเอียดตามนี้ แต่แพคเกจชุดใหม่ที่จะออกก็ขอให้คุ้มครองมากขึ้น
*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org
- 296 views