เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2565 ที่อาคารศูนย์การเรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข จัดเวทีเสวนาเรื่อง “อาหารและขนมผสมกัญชา ใกล้มือเด็ก ห้าม หรือ ให้” โดย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข ออกประกาศเรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 มีผลให้กัญชาไม่ถือเป็นยาเสพติด ยกเว้นสารสกัดที่มีปริมาณของสาร THC ต้องไม่เกิน 0.2% แม้กัญชาจะมีคุณประโยชน์ในทางแพทย์ แต่หากใช้ไม่ถูกวิธีก็มีโทษและผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน รวมถึงประชาชนทั่วไป ที่อาจยังรับรู้โทษของกัญชาไม่ถูกต้อง ดังนั้น จำเป็นต้องเร่งรณรงค์สื่อสารสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับกัญชาที่ถูกต้อง 

“สสส. เป็น 1 หนึ่งใน 8 หน่วยงาน ที่ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมใช้กัญชา กัญชง เพื่อดูแลสุขภาพ สร้างเศรษฐกิจและไม่ใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เพื่อร่วมกันรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ และถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้กัญชา กัญชง ในการดูแลสุขภาพอย่างถูกต้อง เหมาะสม ปลอดภัย เพื่อให้ประชาชน เด็ก เยาวชน บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ใช้แรงงาน ผู้ประกอบธุรกิจ ได้ตระหนักถึงประโยชน์และโทษจากการใช้กัญชา กัญชง และให้เกิดการรับรู้ของสังคมในการร่วมมือ ป้องกันและต่อต้านการใช้ที่ไม่เหมาะสม” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว

รศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสิรฐ กุมารแพทย์เฉพาะทางโลหิตวิทยาและมะเร็งในเด็ก หรือ หมอวิน เพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ กล่าวว่า กัญชาในทางการแพทย์ มีข้อบ่งชี้บ่งใช้ในเด็กน้อยมาก ปัจจุบันจะใช้ในโรคลมชักชนิดรักษายาก และต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เฉพาะทางโรคระบบประสาทและลมชัก ส่วนใหญ่จะใช้ในกรณีที่ใช้ยาแผนปัจจุบันแล้วไม่ตอบสนองการรักษา ส่วนการรักษาโรคมะเร็งยังไม่มีข้อบ่งใช้ในเด็ก ดังนั้นการใช้กัญชาในเด็กยังถือว่ามีการใช้ในวงที่แคบมาก หรืออาจบอกได้ว่าแทบจะไม่มีในแพทย์แผนปัจจุบันเลย ในฐานะกุมารแพทย์ อยากให้คุณพ่อคุณแม่ ครอบครัว และสังคมไทย ช่วยปกป้องสมองเด็กจากกัญชาให้ได้ กัญชาไม่ควรเป็นสิ่งที่เด็กเข้าถึงได้ทั้งในรูปแบบของอาหาร และรูปแบบของยาเสพติดต่าง ๆ เพราะทำให้เกิดผลเสียต่อเด็กอย่างมาก 

“เมื่อเด็กโตขึ้น เขาย่อมรู้ดีว่าอะไรเป็นสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่พ่อแม่ต้องย้ำเตือนคือ ทุกบ้านที่มีเด็กควรจะปลอดสารเสพติด รวมทั้งพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น เพื่อให้เขามีเกราะป้องกันก่อนที่จะออกไปสู่สังคมภายนอก ไปโรงเรียน หรือไปพบเจอสิ่งที่ไม่ดีนอกบ้าน ดังนั้น บ้านควรต้องปลอดกัญชา รวมทั้งการสั่งสอนเด็กในเชิงบวก ให้รู้ข้อดีข้อเสียของกัญชาคืออะไร ด้วยข้อเท็จจริง หรือถ้าลูกมาขออนุญาต ก็ควรปฏิเสธชัดเจนว่าไม่อนุญาต เชื่อว่าการเลี้ยงและดูแลใส่ใจอย่างดีจากครอบครัว จะทำให้เขาเติบโตมาแล้วสามารถคิดแยกแยะว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดีได้เอง” รศ.นพ.วรวุฒิ กล่าว

ดร.พรณิชา ชาตะพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย (ประถม) กล่าวว่า โรงเรียนมีนักเรียนมากกว่า 4,000 คน มีชั้นเรียนละ 20 ห้อง เน้นการเรียนรู้ให้นักเรียนทุกช่วงชั้นเข้าใจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคุณ-โทษของกัญชาในทุกวิชาเรียนแบบบูรณาการ เน้นกิจกรรมสร้างเสริมความรู้สร้างภูมิคุ้มกันให้นักเรียน เช่น วิชาศิลปะของนักเรียนชั้น ป.1 จะสอนเรื่องลักษณะของกัญชาเป็นอย่างไร ให้เด็กได้วาดรูป ระบายสี รวมไปถึงการจัดบอร์ดความรู้ตามจุดต่าง ๆ ในโรงเรียน ให้เห็นลักษณะของกัญชา กัญชง พืชกระท่อม และได้เรียนรู้ว่ามีคุณมีโทษต่อร่างกายอย่างไร การใช้กัญชาทางการแพทย์ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

“เมื่อเด็กไปเห็นอาหารที่ผสมกัญชา มีภาพใบกัญชาแบบที่เขาเคยได้เรียน ได้เห็นมาก่อน เขาสามารถปฏิเสธไม่รับประทานได้ ส่วนการควบคุมเมื่อเด็กอยู่นอกรั้วโรงเรียน ใช้วิธีแจ้งให้ผู้ปกครองทราบ และขอให้ช่วยสอดส่องดูแล รวมถึงเป็นตัวอย่างให้เห็น เช่น ไม่สั่งอาหาร เครื่องดื่มที่ผสมกัญชาให้เด็กเห็น พร้อมขอความร่วมมือร้านอาหารรอบรั้วโรงเรียน ไม่ให้นำอาหาร ขนมที่ผสมกัญชามาจำหน่ายให้เด็กกิน”  ดร.พรณิชา กล่าว

นายนที เอกวิจิตร หรือ อุ๋ย วง Buddha Bless ศิลปินนักร้อง กล่าวว่า ตนเคยเสพกัญชาสมัยวัยรุ่น เป็นการใช้เพื่อสันทนาการ และในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ใช้กัญชาเพื่อช่วยในการนอน พบว่ามีผลกระทบเรื่องอารมณ์ฉุนเฉียว จึงได้เลิกใช้ เพราะมีข้อเสียมากกว่าข้อดี สำหรับการเปิดเสรีกัญชา ตนเป็นห่วงผลกระทบต่อเด็ก เยาวชน เป็นวัยที่กำลังอยากรู้อยากลอง ยังขาดความรู้ความเข้าใจการใช้กัญชาที่ถูกต้อง อาจใช้กัญชาผิดวิธี จึงขอฝากให้พ่อแม่ผู้ปกครอง เฝ้าระวังบุตรหลาน สร้างความตระหนัก ให้คำแนะ ข้อมูลที่ถูกต้อง ทั้งด้านประโยชน์ โทษ สร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กและเยาวชนตั้งแต่วัยเยาว์

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org