สธ. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 7 คณะ เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบยาอย่างต่อเนื่อง และได้ประกาศบัญชียาหลักแห่งชาติเพื่อเพิ่มการเข้าถึงยาจำเป็นกว่า 20 รายการ รวมถึงประกาศกำหนดราคากลางยา 155 รายการ ซึ่งช่วยรัฐประหยัดงบได้ถึง 740 ล้านบาท พร้อมจับมือเครือข่ายผลักดันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยาจำเป็น ใช้ยาสมเหตุผล ให้ประเทศมีความมั่นคงด้านยาอย่างยั่งยืน

วันที่ 11 พฤษภาคม 2565  นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ทำหน้าที่แทน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติว่า คณะกรรมการเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จำนวน 7 คณะ เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบยาอย่างต่อเนื่อง โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ คณะกรรมการยังเห็นชอบให้ประกาศบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงยาจำเป็นกว่า 20 รายการ 

 

 

เช่น ปรับปรุงเกณฑ์อนุมัติสั่งใช้ยารักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง (ยารับประทานสูตรผสม Sofosbuvir+ Velpatasvir) เพิ่มรายการยาระงับปวดสำหรับผู้ป่วยวิกฤต COVID-19 และผู้สูงอายุ (ยาฉีด Dexmedtomidine) เป็นต้น และยังเห็นชอบให้ประกาศกำหนดราคากลางยา จำนวน 155 รายการ โดยคาดการณ์ว่าในปี 2565 รัฐจะสามารถประหยัดงบประมาณได้ถึง 740 ล้านบาท นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังขับเคลื่อนประเทศสู่การใช้ยาอย่างสมเหตุผล (RDU country) โดยส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลผ่านสถานพยาบาลเอกชน ส่งผลให้ประชาชนที่มารับบริการในคลินิกและโรงพยาบาลเอกชนจะได้รับข้อมูลการใช้ยาอย่างถูกต้อง เหมาะสม 

การขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศ ในปีงบประมาณ 2565 อย.ยังได้ร่วมมือกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา พัฒนากลไกเพื่อการเข้าถึงข้อมูลสิทธิบัตรยา โดยการจัดอบรมหลักสูตรให้กับผู้ประกอบการด้านยาในการสืบค้นข้อมูลสิทธิบัตรยา เพื่อให้มีการผลิตยาสามัญทดแทนยาต้นแบบได้รวดเร็วขึ้น 

 

 

นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า การพัฒนาระบบยาจะดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลไกของคณะอนุกรรมการ 7 คณะ ยังต้องอาศัยภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันเร่งผลักดันขับเคลื่อนมาตรการสำคัญ โดยเฉพาะการส่งเสริมอุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยาจำเป็น ใช้ยาสมเหตุผล และประเทศมีความมั่นคงด้านยาอย่างยั่งยืน