กรมอนามัย เผยผู้สูงอายุเพิ่มสูงต่อเนื่อง 60% พลัดตกหกล้ม เหตุขาดการออกกำลังกาย มีตั้งแต่เจ็บเล็กน้อยขึ้นไป เกิดจาก 4 ปัจจัยหลัก ทั้งร่างกาย พฤติกรรม สิ่งแวดล้อม และจิตใจ เร่งประกาศนโยบาย "สูงวัย เคลื่อนไหวดี ไม่มีล้ม" เน้นเดินให้ได้วันละ 5 พันก้าว เพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อ 

เมื่อวันที่ 29 เม.ย. นพ.มณเฑียร คณาสวัสดิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวภายหลังประกาศนโยบายผู้สูงวัย เคลื่อนไหวดี ไม่มีล้ม ว่า ทุกๆ ปี ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ 1 ใน 3 หรือมากกว่า 3 ล้านคนพลัดตกหกล้ม และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้สูงอายุหญิงมีการบาดเจ็บจากการพลัดตกหกล้มสูงกว่าผู้สูงอายุชาย 1.6 เท่า โดยร้อยละ 60 พลัดตกหกล้มจากการลื่น สะดุด หรือก้าวพลาด บนพื้นระดับเดียวกัน มีเพียงร้อยละ 5 ที่ตกหรือล้มจากขั้นบันได สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ 1. ด้านร่างกาย ทั้งการมองเห็น การเดิน การทรงตัว และโรคประจำตัว 2. ด้านพฤติกรรม คือ ขาดการออกกำลังกาย การดื่มแอลกอฮอล์ 3. ด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ พื้นลื่นต่างระดับ บันไดไม่มีราวจับ และ 4. ด้านจิตใจ ขาดความมั่นใจในการเดิน


 

นพ.มณเฑียรกล่าวว่า การบาดเจ็บภายหลังการพลัดตกหกล้ม มีตั้งแต่อาการเล็กน้อย เช่น ฟกช้ำ แผลถลอก กระดูกหัก จนถึงขั้นรุนแรงและเสียชีวิตได้ การป้องกันที่สำคัญ คือ ควรออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรง เพื่อช่วยการทรงตัว รวมทั้งควรประเมินและแก้ไขปัจจัยเสี่ยงหลายๆ ปัจจัย โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติหกล้มมาก่อน ทั้งนี้ กรมอนามัยได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล กรมกิจการผู้สูงอายุ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ขับเคลื่อนการส่งเสริมกิจกรรมทางกายและป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุด้วยการประกาศนโยบาย “ผู้สูงวัย เคลื่อนไหวดี ไม่มีล้ม”

"การดำเนินการจะเน้นให้ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทางกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือวันละ 30 นาที ส่งเสริมให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเนือยนิ่งด้วยการเดินให้ได้อย่างน้อยวันละ 5,000 ก้าว เพื่อป้องกันการหกล้ม เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อให้ทรงตัวดีขึ้น และหากมีการเดินเพิ่มมากขึ้น วันละ 7,000 – 10,000 ก้าว จะช่วยป้องกันโรคไม่ติดต่อ และเพิ่มสมรรถภาพทางกายให้ดีขึ้น ช่วยให้ผู้สูงอายุมีการเคลื่อนไหวที่ดี ป้องกันการหกล้ม ใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉง ช่วยเหลือตนเองได้ และเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป" นพ.มณเฑียรกล่าว

ด้าน คุณศิริลักษณ์ มีมาก ผู้เชี่ยวชาญ เฉพาะด้านผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุ กล่าวว่า พยายามพักดันเรื่องของนโยบายผู้สูงอายุเป็นการขับเคลื่อนร่วมกับเพื่อนภาคีทั้งส่วนราชการ เอกชนและภาคประชาสังคม ในส่วนที่เป็นระดับนโยบายต้องมีกฎหมายเรามีกฎหมาย พรบ. ผู้สูงอายุ ซึ่งพูดถึงเรื่องการปรับสภาพแวดล้อมเรื่องการบริการสาธารณะ เนื่องจากเป็นเรื่องที่จำเป็นที่ต้องจัดระบบนิเวศให้ผู้สูงอายุได้ออกมีส่วนร่วมกับกิจกรรมทางกายมากขึ้น และนอกจากนี้ยังมีเรื่องของแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ที่ได้พูดถึงเรื่องการจัดการปรับสภาพแวดล้อมในการส่งเสริมสุขภาพทางกายเช่นกัน

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของงบประมาณ ที่ทางกรมอนามัยเอง และ มหิดล รวมไปถึงหลายหน่วยงาน อาทิ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย ได้มาร่วมขับเคลื่อนงานเรื่องแผนบูรณาการผู้สูงวัย เช่นกัน โดยเฉพาะในเรื่องสภาพแวดล้อมและการส่งเสริมสุขภาพทางกายของผู้สูงวัย แบบรายบุคคล ซึ่งเป็นนโยบายที่ดีมาก และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน สามารถรับความรู้ไปสานต่อกับชุมชนกับชาวบ้านหรือสมาชิกในครอบครัวได้รับประโยชน์ร่วมกันด้วย และยังมีการอบรม "ช่างชุมชน" ที่ให้ อปท. เข้ามาช่วย อาทิเช่น การปรับปรุงบ้านที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุในชุมชน เป็นต้น

 
 *สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org