คณบดีศิริราชชี้สถานการณ์โควิดขณะนี้ ยังไม่เข้าข่ายโรคประจำถิ่น หนำซ้ำมีโอกาส อาจกลับสู่การระบาดใหญ่ หากประมาท ละเลยมาตรการป้องกันตัว ย้ำ! วัคซีนโควิดปัจจัยสำคัญช่วย ต้องฉีดเข็มกระตุ้นให้ได้ไม่น้อยกว่า 50% ขณะที่ไทยเข็ม 3 ฉีดได้ 36.6%  ต้องเร่งฉีดให้ถึงเป้าหมาย

 

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 25 เม.ย. 2565 ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ถึงสถานการณ์ล่าสุดของ COVID-19 ในต่างประเทศ และในประเทศไทย และแนวโน้มการกลายเป็นโรคประจำถิ่น ว่า  ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกระบุว่า สายพันธุ์ที่ถูกจับตามอง ณ ขณะนี้ มี 2 สายพันธุ์คือ เดลตา และโอมิครอน แต่อีกไม่นานเชื่อว่าเดลตาจะถูกกลืนออกไป เหลือแต่โอมิครอน ซึ่งโอมิครอน จะรวมสายพันธุ์ย่อยต่างๆ รวมทั้ง X ซีรีส์ เนื่องจากมีข้อมูลว่ามีแนวโน้มกระจายเร็วกว่า BA.2 ประมาณ 10% แต่ความรุนแรงไม่ได้มากกว่า

 

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า  สถานการณ์การแพร่ระบาดของโลก ข้อมูล วันที่ 22 เม.ย.2565 มีติดเชื้อ 505,817,953 ราย โดยเสียชีวิตสะสม 6,213,876 คน แต่หากพิจารณาการเสียชีวิตรายวันเริ่มลดลง เกิดจาก 2 ปัจจัย คือ ตัวไวรัสเอง และโลกมีการฉีดวัคซีนมากแล้วจำนวนหนึ่ง  อย่างไรก็ตาม ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา อัตราการติดเชื้อของยุโรปลดลงยังค่อนข้างช้า แต่ทวีปอเมริกาลดลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ทวีป Western Pacific ก็เริ่มลดลง  สรุปคือหลายพื้นที่เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลเมื่อวันที่ 23 เม.ย.2565 ทั่วโลกฉีดวัคซีนแล้ว 11,544,346,261 โดส ฉีดวันละกว่า 13 ล้านโดส เฉลี่ยประชากรโลก 100 คนได้รับวัคซีน 147 โดส แต่ยังมีคนทั่วโลกไม่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสอยู่ จึงต้องเร่งดำเนินการฉีดให้มากขึ้น

สำหรับสถานการณ์การติดเชื้อแต่ละประเทศ อาทิ

- สหรัฐอเมริกา  ขณะนี้อัตราการติดเชื้อเป็นขาลง ตัวเลข 4-5 หมื่นราย แม้จะยังมากแต่น้อยกว่าเดิม เสียชีวิตเลข 3 หลัก ล่าสุดวันที่ 23 เม.ย.เสียชีวิต 77 คน ซึ่งอเมริกามีการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 571 ล้านโดส จากประชากรกว่า 334 ล้านคน ฉีดวันละ 5 แสนคน โดยคนอเมริกันประมาณ 76.7% ได้รับวัคซีน 1 เข็ม มี 65.4% ได้รับ 2 เข็ม และ 29.7% ได้รับเข็มกระตุ้น เห็นว่าคนอเมริกันส่วนหนึ่งก็ไม่รับวัคซีนครบ 2 เข็ม

 

- สหราชอาณาจักร ก็เป็นอีกประเทศที่มีการทดสอบระบบหลายๆอย่าง มีการเปิดฟรีดอมเดย์ เลิกการใส่หน้ากากอนามัย แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาควบคุม เพราะมีการแพร่ระบาดของโอมิครอน  อัตราการเสียชีวิตยังไม่ได้ลดเหมือนสหรัฐ ขณะที่ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 141 ล้านโดสจากประชากรกว่า 68 ล้านคน และ 79.1% ได้รับ 1 เข็ม โดย 74% ได้รับ 2 เข็ม และ 58.2% ได้รับเข็มกระตุ้นแล้ว

- ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีคนสูงวัยมาก โดยตอนนี้ดีขึ้น จากเดิมติดเชื้อเป็นแสน แต่ปัจจุบันติดเชื้อครึ่งแสน อย่างไรก็ตาม เป็นประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 267 ล้านโดสในประชากรกว่า 125 ล้านคน โดยฉีดวัคซีนกระตุ้น 50.2% ซึ่งตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังเร่งฉีดวัคซีนสูงมาก  รวมทั้งเกาหลีใต้ เคยเป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องว่าควบคุมโควิดได้ดี โดยเฉพาะปีแรกๆ แต่หลังจากมีโอมิครอน

- สถานการณ์เกาหลีใต้เปลี่ยนไป ทำให้การติดเชื้อเพิ่มอย่างมาก โดยช่วงติดเชื้อมากๆถึงวันละ 2-3 แสนคน และเสียชีวิตเกือบ 500 คนต่อวัน แต่ขณะนี้ลดลง โดยฉีดวัคซีนแล้วกว่า 122 ล้านโดสจากประชากร 51 ล้านคน ซึ่งถือว่าฉีดกันเยอะมาก โดยการฉีดเข็มกระตุ้นไปแล้ว 63.8%  เวียดนาม ตอนนี้ติดเชื้อเฉลี่ยน้อยกว่าไทย  โดยอัตราการเสียชีวิตน้อยมาก บางวันเหลือเลข 1 หลัก ซึ่งฉีดวัคซีนแล้วกว่า 208 ล้านโดส จากประชากร 98 ล้านคน 

- มาเลเซีย เป็นประเทศที่คู่ขนานกับไทยมาตลอด และการเกิดโอมิครอน ตอนนั้นในมาเลเซียเดลตายังไม่สิ้นสุด ตัวเลขติดเชื้อจึงสูงวันละ 3 หมื่นราย แต่วันนี้น้อยลง และเสียชีวิตลดลงบางวันเหลือเลข 1 หลัก ซึ่งคล้ายๆกับเวียดนาม โดยฉีดวัคซีนแล้วกว่า 69 ล้านโดสในประชากร 33 ล้านคน มีการฉีดเข็มกระตุ้นแล้ว 48.6%

- สิงคโปร์ มีการติดเชื้อประมาณ 2-3 พันรายต่อวัน แต่อยู่ในช่วงขาลง รวมทั้งอัตราการเสียชีวิตด้วย บางวันไม่มีคนเสียชีวิต โดยฉีดวัคซีนแล้วกว่า 13 ล้านโดส จากประชากรกว่า 5 ล้านคน เกือบ 70% ได้รับการฉีดเข็มกระตุ้นแล้ว

 

 

“สิ่งที่จะย้ำคือ มาตรการวัคซีนมีความสำคัญ แต่อาจไม่พอ หากใช้วัคซีนอย่างเดียว ต้องมีมาตรการอย่างอื่นด้วย แต่การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นยังสำคัญ โดยต้องตั้งเป้าหมายให้ได้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 50% เพราะประเทศที่คุมได้ดีจะฉีดวัคซีนกระตุ้นเกิน 50%”

 

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย ติดเชื้อวันละกว่า 2 หมื่นราย เสียชีวิตยังเลข 3 หลัก ฉีดวัคซีนโควิดแล้วกว่า 132 ล้านโดสจากประชากรกว่า 70 ล้านคน ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น 36.6%  ยังห่างไกลจาก 50% จึงจำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น หากต้องการให้ตัวเลขเสียชีวิตเหลือ 2 หลัก ตอนนี้ยังเลข  3 หลัก อย่างไรก็ตาม 3-4 วันที่ผ่านมาเริ่มเห็นตัวเลขไม่ค่อยขึ้นในผู้ป่วยปอดอักเสบ หากนิ่งแบบนี้เรื่อยๆ ภายใน 1-2 สัปดาห์ เราจะเห็นตัวเลขเสียชีวิตลดลง

 

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ทิศทางโควิดจะเป็นโรคประจำท้องถิ่นนั้น จากข้อมูลคือ การเกิดขึ้นของโอมิครอนเกือบ 5 เดือนแล้วที่โลกได้รู้จัก และข้อมูลยังเหมือนกัน คือ ความรุนแรงต่ำกว่าสายพันธุ์เดลตา แต่สายพันธุ์นี้แพร่เร็วกว่าเดลตา  อย่างไรก็ตาม โอมิครอนมีคุณลักษณะแพร่กระจายเร็ว และไม่รุนแรง จึงทำให้นักวิชาการจำนวนไม่น้อยมองว่า น่าจะถึงเส้นที่โควิดจะเดินทางไปสู่โรคประจำถิ่น  ทั้งนี้  ความเหนื่อยล้าจากการที่ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการล็อกดาวน์ เป็นครั้งคราว มีการรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล สังคมไม่ได้ใกล้ชิดเหมือนเดิม ต้องใส่หน้ากากอนามัย ต้องทำงานต้องเรียนทางไกล ซึ่งทุกคนอยากเห็นโควิด19 ไปสู่ปลายทางการแพร่ระบาด และนำไปสู่โรคประจำท้องถิ่น 

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับนิยามกว้างๆ ของโรคประจำท้องถิ่น เป็นโรคที่พบได้สม่ำเสมอในกลุ่มคน กลุ่มพื้นที่ หรือช่วงเวลาที่คาดการณืได้ อาจมีการระบาดมากบ้าง เป็นครั้งคราว แต่มักไม่เกินระดับที่คาดหมาย โดยทั่วไปเป็นโรคที่มีมาตรการหรือวิธีการควบคุม  ที่สำคัญที่ต้องย้ำคือ โรคประจำถิ่นยังมีอัตราการเสียชีวิตได้ อย่างโรคมาลาเรีย หรือไข้ป่า จนถึงตอนนี้ยังคร่าชีวิตคนปีละกว่า 4 แสนราย หรือบางโรคอย่างเริ่ม เป็นการติดเชื้อ Herpes ซึ่งอาจพบได้มากถึงครึ่งหนึ่งของประชากรบางพื้นที่ แต่เพียงมีอาการไม่มาก

 

“สถานการณ์เวลานี้ การติดเชื้อโควิดยังไม่เข้าข่ายของโรคประจำท้องถิ่นและยังมีโอกาส แม้จะดูไม่มาก ที่กลับเกิดการแพร่ระบาดใหญ่อีก จึงยังไม่อยากให้ประมาท ที่สำคัญนิยามโรคประจำท้องถิ่นก็ไม่ได้เหมือนกันหมด” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

 

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า หลากหลายประเทศก็เริ่มมีนโยบายให้เกิดสมดุลระหว่างสุขภาพและเศรษฐกิจ ประเทศไทยก็เช่นกัน ซึ่งทั้งหมดมองให้ดีก็อาจเป็นปัจจัยความเสี่ยงให้โควิดกลับมาแพร่ระบาด แต่เราก็ต้องวิ่งไปให้เศรษฐกิจดีขึ้น แต่เราต้องบริหารความเสี่ยงของโควิด โดยเน้นการป้องกัน และการรักษา สำหรับไวรัสที่แพร่กระจายมากมาย จะป้องกันไม่ให้ติดเชื้อค่อนข้างยาก แต่ลดการติดเชื้อได้ และหากติดเชื้อแล้วและไม่รุนแรง และไม่เสียชีวิตจะเป็นเป้าหมายที่ดี

 

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การป้องกันความเสียหายของโควิด วิธีดีที่สุด ณ เวลานี้ คือ การฉีดวัคซีน 2 เข็มหลักและเข็มกระตุ้น ซึ่ง 2 เข็มหลักไม่พอ ต้องมีเข็มกระตุ้น และคู่ขนานกับการใส่หน้ากากอนามัย  โดยโควิด19 เมื่อมีการกลายพันธุ์ประสิทธิภาพวัคซีนจะลดลง  ยิ่งเจอโอมิครอน  ดังนั้น มาตรการการป้องกันตัวเอง อย่างการใส่หน้ากากอนามัยจึงสำคัญ รวมทั้งการตรวจ ATK เมื่อจำเป็น  อย่างไรก็ตาม สำหรับสมดุลการรักษาโควิด “โอมิครอน”  ตอนนี้ไม่เน้นการรักษาในรพ. เพราะอาการไม่รุนแรง ซึ่งเมื่อไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง จึงมีแนวโน้มให้รักษานอก รพ. และมีการเฝ้าติดตามผ่านระบบการลงทะเบียน เพื่อให้เตียงใน รพ.ว่าง ในการดูแลคนที่เป็นโรคอื่นๆที่ไม่ใช่โควิด แต่จำเป็นต้องรักษาใน รพ.

 

สำหรับคนกลุ่มเสี่ยงที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ 608 แต่คนไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือฉีดครบ 2 เข็มแล้วแต่เกิน 3 เดือนขึ้นไป คนเหล่านี้หากมีอาการ แม้เล็กน้อยก็ต้องรีบเข้ารพ. โดยจากการติดตามข้อมูล 6-8 สัปดาห์ ในแต่ละวันที่มีคนเสียชีวิตพบว่าประมาณ 50-60% ไม่ได้ฉีดวัคซีน และประเทศไทยเรายังมีคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนอีกกว่า 2 ล้านคน และพบว่า 30% หรือ 1 ใน 3 คน คือคนที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว 2 เข็ม และเข็ม 2 เกิน 3 เดือนแล้ว และไม่ได้กลับมาฉีด อีกทั้งยังมี 10% ฉีดไปแล้ว 1 เข็ม แต่ไม่ฉีดต่อ รวมๆ 3 ตัวเลขนี้เกือบ 90% ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนไม่สมบูรณ์จะเสี่ยงด้วย

“ องค์การอนามัยโลกเตือนอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงสงกรานต์  วันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา ว่า โควิดยังไม่ได้เข้าสู่สถานการณ์เป็นโรคประจำท้องถิ่น แม้มีแนวโน้ม แต่ยังไม่ถึง และอาจเกิดการกลายพันธุ์ และในบางประเทศอาจเกิดการระบาดใหญ่ได้อีก สรุปคือ อย่าด่วนตัดสิน จนละเลยสิ่งต่างๆ ที่เราทำกันมา 2 ปี ”  ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

 

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า  ความสำเร็จจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของ 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายที่กำหนดมาตรการและนโยบาย ต้องมีความรอบคอบในการกำหนดมาตรการ ต้องชัดเจนเพื่อเอาไปปฏิบัติ ฝ่ายที่ดำเนินการตามมาตรการและนโยบายก็ต้องมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบ ซึ่งไม่ใช่บุคลากรสุขภาพ แต่ผู้ประกอบการด้วย และฝ่ายที่ได้รับผลจากมาตรการและนโยบาย ต้องได้รับความร่วมมือและมีวินัยในการดูแลตัวเอง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญของช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ คือ การฉีดวัคซีนจำเป็นต้องเข็มกระตุ้น และการเตรียมความพร้อมของระบบการดูแลสุขภาพ คือ คน ของ เตียง และการมีส่วนร่วมของประชาชนที่จะช่วยกันป้องกันการรับเชื้อและแพร่เชื้อ