อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) เตรียมพิจารณาหลักเกณฑ์รับจ้างอุ้มบุญถูกกฎหมาย ย้ำ! คุณสมบัติไม่เปลี่ยนมาก ยึดกม.เดิม เช่น เคยมีลูกมาก่อน เหตุตั้งครรภ์ต้องมีประสบการณ์ มีการกระตุ้นไข่ ฉีดฮอร์โมน เล็งขึ้นทะเบียนขออนุมัติจาก สบส. หรือสถานพยาบาล ป้องกันรับจ้างอุ้มบุญผิดกฎหมาย
เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2565 นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวถึงการแก้พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (กฎหมายอุ้มบุญ) กรณีที่มีแนวคิดให้หญิงไทยสามารถรับจ้างตั้งครรภ์แทน (อุ้มบุญ) ได้ ว่า โดยหลักจะมีเกณฑ์กำหนดว่าผู้ที่จะสามารถรับอุ้มบุญได้ตามกฎหมายฉบับปัจจุบัน ไม่ได้มีการปรับแก้อะไรในส่วนนี้ ยกเว้นกรณีที่จะปรับให้สามารถรับจ้างได้เท่านั้น ทั้งนี้ข้อกำหนดในเบื้องต้นคือเป็นหญิงที่เคยมีลูกมาก่อน แต่ต้องไม่มีลูกเกินกี่คน อายุขั้นต่ำ และอายุสูงสุดที่ให้ตั้งครรภ์ได้ เป็นต้น ทั้งนี้เพราะหากมีลูกมากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้หญิงได้ อย่างไรก็ตามนี่เป็นข้อเสนอ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดระบบเป็นทางการว่าคนที่จะมาเป็นแม่อุ้มบุญต้องมาขึ้นทะเบียนก่อน และมีรายได้ แทนที่จะไปลักลอบรับจ้างอุ้มบุญผิดกฎหมาย
เมื่อถามว่าสาวโสดเข้าเกณฑ์สามารถทำได้หรือไม่ นพ.ธเรศ กล่าวว่า เกณฑ์ของผู้หญิงที่จะมารับอุ้มบุญนั้นมีเกณฑ์เดิมอยู่แล้ว ซึ่งไม่ได้อนุญาตให้สาวโสดทำ เพราะการตั้งครรภ์ต้องมีประสบการณ์ในการดูแลการตั้งครรภ์ ซึ่งต้องใช้เวลานานถึง 9 เดือน หากคนไม่มีประสบการณ์ ตอนแรกเข้ามาอาจจะตั้งใจทำ แต่พอใช้อาจจะถอดใจภายหลังได้ นอกจากนี้ ยังมีการกระตุ้นเรื่องไข่ มีการฉีดฮอร์โมนเข้าไป หากเป็นสาวโสดก็จะไม่มีกลไกตรงนี้มาก่อนก็อาจจะมีปัญหา
เมื่อถามต่อว่าการขึ้นทะเบียนรับจ้างอุ้มบุญต้องขึ้นตรงกับ สบส. หรือเปิดให้ทำผ่านเอเจนซี่ได้หรือไม่ นพ.ธเรศ กล่าวว่า อันนี้เราจะเสนอหลักการก่อน หากอนุกรรมการแก้ไขกฎหมายเห็นด้วยก็ไปร่างแนวทาง แต่ส่วนตัวเห็นว่าหากสมมติเห็นด้วยแล้วมาทำการขึ้นทะเบียนก็สามารถขึ้นทะเบียนกับสบส.ก็ได้ หรือจะขึ้นทะเบียนกับสถานพยาบาลก็ได้ หรือขึ้นทะเบียนไว้ตรงกลางก็ได้ ไม่เป็นไร แต่ขอให้รู้ว่ามีตัวตน มีคุณสมบัติ จะได้ไม่ถูกหลอกหรือแอบทำแบบผิดกฎหมาย เหมือนในอดีตก่อนจะมีกฎหมายนี้เกิดขึ้น ที่มีการแอบทำแล้วพบว่าทารกที่เกิดจากการอุ้มบุญมีภาวะดาวน์ซินโดรมทำให้ผู้ว่าจ้างหนีไป คนอุ้มบุญก็ไม่กล้าแจ้งความเพราะตัวเองทำผิดกฎหมาย
“ตามกฎหมายเราให้คนที่รับอุ้มบุญต้องเป็นเครือญาติ แต่ก็มีข้อยกเว้นให้กับคนที่อาจจะไม่มีญาติแต่อยากมีลูกสามารถให้คนอื่นรับอุ้มบุญให้ได้ กรณีที่บอกว่าคนอื่นนี่แหละก็เป็นการรับจ้างอุ้มบุญ แต่ไม่ได้พูดว่ารับจ้างเท่านั้นเอง ดังนั้นเรากำลังทำให้เรื่องนี้ขึ้นมาอยู่บนดิน ไม่ถูกกดขี่” นพ.ธเรศ กล่าว และว่า นอกจากนี้กฎหมายยังจะมีการแก้ไขเพิ่มอัตราเจ้าพนักงาน และแก้ไขให้ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาทำอุ้มบุญในไทย รวมถึงการเปิดให้ฝากไข่ สเปิร์ม ตัวอ่อน ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตามกฎหมายปัจจุบันมีข้อกำหนดว่า การดำเนินการตั้งครรภ์แทนผู้ให้บริการจะต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (กคทพ.) โดยยื่นเอกสารที่สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ หรือยื่นที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โดยหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องเป็นสายเลือดเดียวกันกับคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและเคยมีบุตรมาแล้ว โดยคลอดทารกตามธรรมชาติไม่เกิน 3 ครั้ง หากผ่าคลอดต้องไม่เกิน 1 ครั้ง และมีอายุระหว่าง 20-40 ปี ทั้งนี้หญิงรับตั้งครรภ์แทนรับอุ้มได้ไม่เกิน 2 ครั้ง คู่สมรสที่ใช้วิธีการอุ้มบุญต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด และห้ามเลือกเพศทารก
ข่าวเกี่ยวข้อง : ราชวิทยาลัยสูติฯ ตั้งทีมเชี่ยวชาญพิจารณาชุดสิทธิประโยชน์รักษาผู้มีบุตรยาก ด้านศิริราชแนะ 3 แนวทาง
*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org
- 5723 views