รองนายกฯ และรมว.สธ.เผยยอดสะสม "โอมิครอน" 1,780 ราย มากที่สุดยังเป็นกทม. รองลงมากาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ชลบุรี และภูเก็ต พร้อมสั่งสธ. เสนอ ศบค.เลื่อนระบบ test and go ออกไปจากเดิมในวันที่ 4 ม.ค. ชะลอเพื่อประเมินสถานการณ์ไปจนถึงสิ้นเดือนมกราคม
เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมาตรการป้องกันโควิด-19 ว่า วันนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รายงานว่าพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอน เพิ่มขึ้น 229 ราย สะสมทั้งหมด 1,780 ราย โดยจังหวัดที่พบมากที่สุดยังเป็นกรุงเทพมหานคร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ชลบุรีและภูเก็ต โดยยังคงพบการติดเชื้อในผู้เดินทางเข้าประเทศ
ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อเท็จจริง กรณีที่มีข้อสั่งการจาก รมว.สาธารณสุข ให้เลื่อนมาตรการ Test and go ออกไป นายอนุทิน กล่าวว่า จากการที่ทั่วโลกพบการติดเชื้อโอมิครอนเพิ่มขึ้น ทำให้เราต้องประกาศชะลอการเดินทางเข้าประเทศในระบบ Test and go เพื่อประเมินสถานการณ์จนถึงวันที่ 4 ม.ค.65 แต่ด้วยขณะนี้เรายังพบผู้เดินทางเข้าประเทศติดเชื้อโอมิครอนต่อเนื่อง ซึ่งวันนี้ในที่ประชุม EOC ของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีปลัดกระทรวงฯ อธิบดีกรมควบคุมโรค ผู้บริหารกระทรวงฯ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ให้ความเห็นว่า สธ.จะเสนอต่อ ศบค. พิจารณาเลื่อนมาตรการ test and go ออกไปจากเดิมในวันที่ 4 ม.ค. ทั้งนี้ จะชะลอเพื่อประเมินสถานการณ์ไปจนถึงสิ้นเดือนมกราคม
"ผมยืนยันว่าเพื่อความสบายใจในเรื่องของมาตรการเข้าประเทศ และความปลอดภัยของคนในประเทศ เราจำเป็นต้องมีนโยบายให้เลื่อนเปิด Test and go ออกไป ซึ่งเราจะเสนอในที่ประชุม ศบค. พิจารณาเห็นชอบทันที" นายอนุทิน กล่าว
เมื่อถามถึงผู้เดินทางในระบบ test and go ที่ยังค้างท่ออยู่ จะสามารถเดินทางเข้ามาได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนในระบบ test and go มาก่อนหน้านี้ เราต้องขอความร่วมมือ ว่า หากต้องการใช้สิทธิตามที่ลงทะเบียน จะต้องเดินทางเข้ามาภายในวันที่ 10 มกราคม นี้เท่านั้น หลังจากนั้น หากใครต้องการเข้าไทย จะต้องเข้าระบบแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) ที่ภูเก็ต หรือผ่านระบบกักตัว(Quarantine) เท่านั้น
"เราจะกำหนดมาตรการสำหรับผู้เดินทางที่ลงทะเบียนมาก่อนหน้านี้ ภายในวันที่ 10 ม.ค. เท่านั้น ถือเป็นเดดไลน์ โดยหลังจากนี้ผู้เดินทางทุกคนจะต้องเข้าระบบกับตัวหรือไม่ก็แซนด์บ็อกซ์ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ" นายอนุทิน กล่าว
*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org
- 4 views