กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แนะวิธีเที่ยวปีใหม่อย่างไรห่างไกลโควิด “โอไมครอน” เผยวิธีตรวจหาเชื้อเบื้องต้นด้วย ATK ให้ปลอดภัย ควรตรวจซ้ำ 3-5 วันถัดไป

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้ข้อมูลถึงการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยชุดตรวจ ATK ตรวจอย่างไรให้มั่นใจห่างไกล “โอไมครอน” ว่า ในปีใหม่ประชาชนเดินทางกันมากขึ้น มีการเข้าร่วมกิจกรรมมากขึ้น ดังนั้น คำแนะนำที่สำคัญคือ การคัดกรองตัวเองด้วยชุดตรวจ ATK สร้างความปลอดภัยได้ระดับหนึ่ง แต่ก็มีข้อจำกัดในตัวเอง หากตรวจไม่ถูกวิธี ตรวจในวันแรกๆ เชื้อน้อยๆ ตามหลักความจริง ก็คือ อาจจะหาไม่เจอ ยังไงก็ต้องระวัง แต่ไม่อยากให้ยึดเป็นสรณะ เพราะ การตรวจครั้งแรกเป็นลบ จำเป็นต้องมีการตรวจซ้ำ

“หากตรวจครั้งแรกเป็นลบ ต้องมีการตรวจซ้ำใน 3-5 วันถัดไป ระหว่างนั้นก็ต้องป้องกันตัวเอง หากมีความเสี่ยงก็ควรแยกตัวออกจากผู้อื่นให้มากที่สุด ส่วนคนที่ตรวจบ่อยทุกๆ 3-5 หรือ 7 วันถือเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งตอนนี้หาซื้อได้ง่ายและมีราคาถูกลง” นพ.ศุภกิจ กล่าว

นพ.ศุภกิจ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เน้นย้ำคือ การเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจ ต้องมีความถูกต้อง ปั่นไม้ที่จมูกต้องปั่นข้างละ 5 รอบ ให้ติดน้ำมูกที่อยู่ตรงเพดานจมูก ไม่ใช่ปั่นแล้วไม่โดน เวลาตรวจก็อาจจะไม่เจอเชื้อได้ โดยหลักทางระบาดไม่ว่าจะเครื่องมือใดก็ตาม หากช่วงที่ภาพรวมการติดเชื้อต่ำ ก็จะหาไม่เจอ จะมีผลลบปลอม(false negative) เยอะ แต่หากตอนที่ติดเชื้อสูง มันก็ช่วยได้ อย่างตอนที่เราติดเชื้อเป็นหมื่นราย ตรวจ ATK ก็เจอผลบวกเยอะ แต่เมื่อติดเชื้อวันละ 2 พัน ภาพรวมก็เหลือ 1-2% ก็จะหาไม่ค่อยเจอ ซึ่งเป็นหลักระบาดทั่วไป

เมื่อถามว่าประชาชนควรจะตรวจ ATK ในช่วงไหน ก่อนการเดินทางหรือเข้าร่วมกิจกรรม นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ประเด็นนี้ก็มีคนถามเยอะว่า หากจะต้องเดินทางวันนี้ จะต้องเมื่อไหร่ ซึ่งอธิบายตามหลักการคือ หากจะเข้าร่วมกิจกรรมกับใคร ก็ขอผลตรวจให้ล่าสุดจะดีที่สุด ส่วนการเดินทางกลับมาจากภูมิลำเนา หรือหลังเข้าร่วมกิจกรรม ก็แนะนำว่าตรวจซ้ำได้ เพราะ ATK ราคาถูก หากมีความเสี่ยงก็ตรวจบ่อยทุก 3 วันก็ได้

“สมมติว่าจะดูคอนเสิร์ตเย็นนี้ ให้ตรวจก่อนเข้างานก็ดีที่สุด ไม่ใช่ว่าตรวจ 3-5 วันที่แล้ว แล้วเอาผลมาขอเข้างาน แบบนี้ก็อาจผิดพลาดได้เยอะ ดังนั้น หากจะตรวจครั้งเดียวให้เอาผลล่าสุด แต่หากตรวจเป็นระยะ เป็นซีเรียล ATK อันนี้ไม่เป็นไร ตรวจบ่อยแค่ไหน ก็ดีมากขึ้นเท่านั้น” นพ.ศุภกิจ กล่าว

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org