ในขณะที่โลกพบการกลายพันธุ์อีกครั้งของเชื้อ SARS-CoV-2 ที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 คือการปรากฏตัวของเชื้อโอมิครอน/โอไมครอน (Omicron) นานาประเทศใช้แนวทาง "กันไว้ก่อน" ด้วยการระงับการเปิดประเทศหรือสั่งให้ใช้มาตรการเว้นระยะทางสังคมและระดมฉีดวัคซีนให้ครบถ้วนหรือเข็มกระตุ้น ขณะเดียวกันนั้นก็เกิดคำถามขึ้นมาว่าการระบาดจะสิ้นสุดลงเมื่อไรและหากยังไม่จบง่ายๆ มันจะกลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ อีกหรือไม่

ในระหว่างที่บทความนี้ถูกเขียนขึ้น ก่อนการประกาศผลตรวจสอบอย่างเป็นทางการขององค์การอนามัยโลก (WHO) จะระบุชัดว่าโอมิครอน/โอไมครอนร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรงเพียงใด มีข้อมูลเบื้องต้นระบุว่าเชื้อกลายพันธุ์ใหม่อาจจะติดต่อง่ายขึ้นแต่ความรุนแรงของมันน้อยลง จึงเริ่มมีการพูดถึงกันว่าด้วยความรุนแรงที่น้อยลงของโอมิครอน/โอไมครอนอาจแสดงว่ามันกำลังจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นหรือกลายสภาพเป็น Epidemic ไม่ใช่ Pandemic อีกต่อไป (1)

กอปรกับบริษัทวัคซีนใหญ่ๆ อย่างเช่น Pfizer-BioNTech ระบุว่า "การศึกษาในห้องปฏิบัติการเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าวัคซีน Pfizer-BioNTech COVID-19 สามโดสทำให้สายพันธุ์ Omicron (สาย B.1.1.529) เป็นกลาง ในขณะที่สองขนาดแสดงระดับไทเทอร์การทำให้เป็นกลางที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ" (2) ซึ่งหมายความว่าอย่างน้อยวัคซีน (ของบริษัทนี้) ใช้จัดการกับเชื้อกลายพันธุ์ใหม่ได้

ดังนั้น คำถามที่ว่าการระบาดใหญ่ของโควิด-19 จะ "ลดดีกรีลง" (ไม่ได้หมายความว่าจะจบลงโดยปริยาย) เมื่อไรก็เริ่มมีความหวังเรืองรองขึ้นมาบ้าง

อย่างไรก็ตาม แม้การระบาดครั้งนี้จะค่อยๆ หมดฤทธิ์ไป แต่มนุษชาติไม่ได้ปลอดภัยจากการระบาดครั้งต่อไปเลย คำเตือนล่าสุดมาจาก หนึ่งในผู้สร้างวัคซีน Oxford-AstraZeneca คือศาสตราจารย์ คุณหญิง ซาราห์ กิลเบิร์ท (Prof. Dame Sarah Gilbert) ที่ได้รับเชิญให้บรรยายในงาน Richard Dimbleby Lecture ครั้งที่ 44 ซึ่งเป็นการบรรยายอันทรงเกียรติของผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ได้กล่าวว่า จำเป็นต้องมีเงินทุนเพิ่มเติมสำหรับการเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดใหญ่ เพื่อป้องกันความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการแพทย์ไม่ให้สูญหายไปก่อนที่การระบาดใหญ่ครั้งหน้าจะเกิดขึ้นมา

เธอกล่าวว่า "นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ไวรัสคุกคามชีวิตและความเป็นอยู่ของเรา ความจริงก็คือ ครั้งต่อไปอาจเลวร้ายลง อาจเป็นโรคติดต่อมากขึ้น หรือเป็นอันตรายถึงชีวิต หรือทั้งสองอย่าง

“เราไม่สามารถยอมให้สถานการณ์ที่เราได้ผ่านพ้นมาแล้ว และพบว่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาลที่เราได้รับอย่างต่อเนื่องหมายความว่ายังไม่มีเงินทุนสำหรับการเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดใหญ่” ศาสตราจารย์ คุณหญิง กิลเบิร์ท กล่าวเสริม (3)

คำเตือนของผู้ร่วมพัฒนาวัคซีน Oxford-AstraZeneca ไม่ใช่เรื่องเกินกว่าเหตุ ก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขคนต่างๆ ยังชี้ว่า ความพยายามในการยุติการระบาดใหญ่ของโควิด-19 นั้นไม่สม่ำเสมอและไม่เป็นชิ้่นเป็นอัน โดยมีการจำกัดการเข้าถึงวัคซีนในประเทศที่มีรายได้ต่ำ ในขณะที่ในประเทศร่ำรวยได้รับการฉีดกระตุ้นกันแล้ว (4) ด้วยเหตุนี้ ในช่วงแรกๆ ของการพบเชื้อโอมิครอน/โอไมครอนจะมีการตั้งข้อสังเกตโดยสื่อต่างๆ ว่า เป็นเพราะประเทศร่ำรวยกั๊กวัคซีนไว้ที่ตัวเองและทำให้ประเทศยากจนในแอฟริกาเข้าไม่ถึงวัคซีนอย่างเท่าเทียม และทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา ซึ่งแม้ว่านี่จะเป็นสมมติฐานลอยๆ โดยไม่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุข แต่มันสะท้อนความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมและความไม่เป็นเอกภาพของประชาคมโลก ที่อาจเป็นสาเหตุของหายนะด้านการสาธารณสุขได้

คำเตือนของ ศาสตราจารย์ คุณหญิง กิลเบิร์ทเป็นสิ่งที่ประชาคมสาธารณสุขระดับโลกรับรู้กันแล้ว และมีความเคลื่อนไหวจาก คณะผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่จัดตั้งขึ้นโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อตรวจสอบการจัดการกับการระบาดใหญ่ของ SARS-CoV-2 ได้เรียกร้องให้มีเงินทุนถาวรและเพื่อให้ประชาคมโลกมีความสามารถมากขึ้นในการตรวจสอบการระบาดใหญ่โดยทำความร่วมมือผ่านสนธิสัญญาใหม่ ซึ่งข้อเสนอหนึ่งคือการจัดหาเงินทุนใหม่อย่างน้อย 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีสำหรับการเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดใหญ่ (4)

เมื่อพูดถึงเรื่องเงินแล้ว มีตัวอย่างหนึ่งของปัญหาที่เกิดจากความไม่เอาใจใส่ของภาครัฐเกี่ยวกับการจัดเตรียมเงินเพื่อตอบรับกับการระบาด คือ กรณีของสหรัฐอเมริกา สำนักข่าว Vox รายงานว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเตือนรัฐบาลสหรัฐมาหลายปีก่อนเกิดการระบาดใหญ่ของโควิด-19 แล้วว่า สหรัฐอเมริกาไม่ได้มุ่งเน้นที่การป้องกันด้านสาธารณสุขเพียงพอ และตอนนี้ก็เกิดปัญหาขึ้นจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเกิดปัญหาการระบาดใหญ่ขึ้นมาแล้ว แทนที่จะเพิ่มเงินทุนให้ตอบรับกับการระบาดครั้งต่อไป ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าควรใช้จ่ายมากถึง 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในระยะเวลา 10 ปีในโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข การเตรียมความพร้อม และการป้องกัน

แต่ปรากฎว่างบประมาณตามกฎหมาย Build Back Better ฉบับแก้ไขแล้วเสนองบประมาณรวมประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้นในโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขและการระดมทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดใหญ่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า (5) หากเงินงบประมาณของสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวยังถือว่าน้อยแล้ว เมื่อดูที่งบประมาณเท่ากันที่คณะผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เสนอไว้เท่ากัน ทำให้เกิดความกังขาว่าเงินจำนวนนี้จะเพียงพอตอบรับการระบาดใหญ่ครั้งต่อไปที่อาจะเลวร้ายกว่าคราวนี้หรือไม่?

ในส่วนของเรื่องเงินทุนอาจจะเป็นประเด็นสำคัญก็คือจริง แต่ยังเป็นปัญหาใหญ่ไม่เท่ากับกับความไม่สมัครสมานสามัคคีกันของประชาคมโลกในการรับมือการระบาดใหญ่ เราจะเห็นว่าการระบาดใหญ่ของโควิด-19 เป็นความท้าทายระดับโลก ไม่มีรัฐบาลหรือสถาบันใดสามารถจัดการกับภัยคุกคามจากการระบาดใหญ่ในอนาคตเพียงลำพังได้ และการที่ประเทศต่างๆ จัดการกันเอง โจมตีกันเอง หรือกักตุนเวชภัณฑ์กันอย่างหนัก เป็นเหตุให้เกิดความข้อสงสัยเรื่องความไม่เท่าเทียมด้านสาธารณสุขจนทำให้การระบาดเกิดการหลายพันธุ์อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น

ความคืบหน้ามีขึ้นเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2564 สมาชิก 194 ประเทศขององค์การอนามัยโลก (WHO) บรรลุฉันทามติที่จะเริ่มกระบวนการร่างและเจรจาอนุสัญญา ข้อตกลง หรือเครื่องมือระหว่างประเทศอื่นๆ ภายใต้ธรรมนูญขององค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อเสริมสร้างการป้องกัน การเตรียมพร้อม และการรับมือโรคระบาด

ทั้งนี้ คณะเจรจาระหว่างรัฐบาลจะได้รับการจัดตั้งขึ้นและจัดการประชุมครั้งแรกภายในวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2565 (เพื่อตกลงเกี่ยวกับวิธีการทำงานและระยะเวลา) และครั้งที่สองภายในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2565 (เพื่อหารือเกี่ยวกับความคืบหน้าในร่างการทำงาน) จากนั้นจะส่งรายงานความคืบหน้าไปยังสมัชชาอนามัยโลกครั้งที่ 76 ในปี 2566 โดยมีเป้าหมายที่จะใช้เครื่องมือนี้ภายในปี 2567 (6)

เรื่องนี้สำคัญอย่างไร? การผลักดันให้ความร่วมมือในการรับมือการระบาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของอนุสัญญา ข้อตกลง หรือตราสารระหว่างประเทศอื่นๆ จะมีผลผูกพันตามกฎหมายภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ข้อตกลงเกี่ยวกับการป้องกัน การเตรียมพร้อม และการตอบสนองของโรคระบาดใหญ่ที่นำมาใช้ภายใต้องค์การอนามัยโลก (WHO) จะช่วยให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกสามารถเสริมสร้างขีดความสามารถระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับโลก และสามารถรับมือกับการระบาดใหญ่ในอนาคตได้

เมื่อมีสนธิสัญญาหรือรูปแบบข้อตกลงอื่นๆ ที่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ในเวลานั้นการจัดหาเงินทุนกองกลางและการวางกรอบเงินทุนระดับชาติเพื่อรับกับการระบาดก็อาจไม่ใช่เรื่องยากลำบากต่อไปอีก

 

อ้างอิง

1. "Omicron 1st Step Towards Pandemic Becoming Endemic? As Variant Causes 'Mild Illness', Experts to 'Wait & Watch'". (December 07, 2021). News18.

2. "Pfizer and BioNTech Provide Update on Omicron Variant". (December 08, 2021). Pfizer Inc.

3. "Sarah Gilbert: Next pandemic could be more lethal than Covid". (December 07, 2021). BBC.

4. "Next pandemic could be more lethal than COVID, vaccine creator says". (December 07, 2021). Reuters.

5. "The US is about to make the same pandemic preparedness mistakes — again". (October 28, 2021). Vox.

6. "An international treaty on pandemic prevention and preparedness". (December 01, 2021). European Council.

 

ภาพ BC and Michael HO for Studio Incendo / commons.wikimedia