เหมือนเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อที่ยุโรปซึ่งมีอัตราการฉีดวัคซีนค่อนข้างสูงกลับมาพบกับการระบาดในอัตราสูงอีกครั้ง โดยเฉพาะฝรั่งเศสที่ประกาศว่าได้เข้าสู่ "คลื่นลูกที่ 5 " ของการระบาดแล้ว ในขณะที่ออสเตรียนั้นเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ประกาศปิดประเทศเต็มรูปแบบกับพลเมืองทุกคนเนื่องมาจากคลื่นลูกที่ 4 ในประเทศออสเตรีย โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน และกินเวลา 20 วัน ประชาชนต้องทำงานจากที่บ้าน ร้านค้าที่ไม่จำเป็นถูกปิด และโรงเรียนยังคงเปิดสำหรับเด็กที่ต้องการการเรียนรู้แบบเห็นหน้าเท่านั้น (1)
นอกจากนี้ ออสเตรียเป็นประเทศที่ใช้ข้อกำหนดทางกฎหมายที่เข้มงวดกับในเรื่องการฉีดวัคซีนโดยตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 จะใช้กฎหมายบังคับให้ประชาชนต้องได้รับการฉีดวัคซีน ส่วนในขณะที่มีการล็อคดาวน์ในเดือนพฤศติกายน 2564 นั้น มีคำสั่งห้ามผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างครบถ้วนต้องถูกล็อกดาวน์ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน
ทั้งนี้ ตำรวจสหพันธรัฐจะคอยตรวจตราประชาชนในที่สาธารณะเพื่อตรวจสอบสถานะการฉีดวัคซีน ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนที่ฝ่าฝืนกฎล็อกดาวน์จะถูกปรับสูงสุด 500 ยูโร (ราว 18,524 บาท) และใครก็ตามที่ไม่ให้ความร่วมมือกับการตรวจสอบสถานะการฉีดวัคซีนอาจถูกปรับ 1,450 ยูโร (ราว 53,720 บาท)
สำหรับผู้ฉีดวัคซีนแล้วจะต้องมีหลักฐานการฉีดวัคซีนครบถ้วนเพื่อไปยังสถานที่สาธารณะ เช่น ร้านอาหาร ร้านทำผม และตลาดคริสต์มาส ในกรุงเวียนนา เด็กอายุมากกว่า 6 ปี (ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน) จะต้องแสดงผลการทดสอบโควิด-19 เป็นลบจึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในที่สาธารณะเหล่านี้ได้ ส่วนคนที่ไม่ได้รับวัคซีนยังคงได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านหากมีความจำเป็น เช่น การซื้อของชำประจำวัน การเดินทางไปทำงาน หรือเข้าร่วมในการปฏิบัติศาสนกิจ โดยมีข้อแม้ว่าผลตรวจจะต้องเป็นลบ (2)
ที่ควรสังเกตคือ ประมาณ 65 % ของประชากรออสเตรียได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน ทำให้ประเทศนี้มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำที่สุดเป็นอันดับสองในยุโรปตะวันตกรองจากลิกเตนสไตน์ อัตราการฉีดของออสเตรียยังใกล้เคียงกับเยอรมนีที่ 68 % และต่ำกว่านั้นในภูมิภาคตะวันออกและใต้ของประเทศเยอรมนี ซึ่งมีอัตราการติดเชื้อและการรักษาในโรงพยาบาลสูงเป็นประวัติการณ์ (3)
นี่คือสถานการณ์เบื้องหลัง แต่สิ่งที่เราต้องจับตาก็คือท่าทีของออสเตรียและเยอรมนีรวมถึงบางประเทศในยุโรปที่เริ่มพิจารณาปรับเปลี่ยนนิยามใหม่ของคำว่า "ฉีดวัคซีนครบถ้วน"
สถานการณ์เฉพาะหน้าในตอนนี้ คือการใช้มาตรการที่เข้มงวดในการจำกัดความเคลื่อนที่ของประชากรโดยเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่ได้รับ (หรือไม่ยอม) ฉีดวัคซีน ในส่วนนี้ บางประเทศในยุโรปยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอีก 2 ประเด็นคือ ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วจะต้องเป็นวัคซีนที่รัฐบาลประเทศนั้นๆ อนุมัติ เช่น ออสเตรียเมื่อต้องพิสูจน์สถานะการฉีดวัคซีนจะอนุมัติเฉพาะวัคซีนที่ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลทางการแพทย์ของยุโรป เช่น วัคซีน Pfizer-BioNtech, Oxford-AstraZeneca, Johnson & Johnson, Moderna, Covishield, Sinovac และ Sinopharm เท่านั้น
ในประเด็นเรื่องยี่ห้อวัคซีนมีความเกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของวัคซีนตัวนั้นๆ นี่ก็เป็นปัญหาอีกจุดหนึ่ง เพราะเมื่อถึงการระบาด "คลื่นลูกที่ 4 และ 5" ในยุโรปตะวันตก ประเทศเหล่านี้เริ่มกังวลว่าแม้แต่วัคซีนที่สหภาพยุโรปอนุมัติและมีประสิทธิภาพสูงกกว่าตัวที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติก็เริ่มที่จะมีประสิทธิภาพที่ลดลง จำเป็นจะต้องได้รับ "การนิยาม" ใหม่ว่าการฉีดวัคซีนครบถ้วนนั้นควรหมายถึงอะไรบ้าง ไม่ใช่แค่พิจารณายี่ห้อวัคซีนกันอีกต่อไป
ตัวอย่างเช่นที่ออสเตรีย ทางการออสเตรียได้ประกาศว่าเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม ใบรับรองการฉีดวัคซีนที่พิสูจน์ว่าผู้ได้รับวัคซีนสองโดสจะมีอายุเพียง 9 เดือนเท่านั้น จากเดิมที่มีอายุ 12 เดือน โดยแถลงการณ์ของทางการออสเตรียระบุ ดังนี้ “การฉีดวัคซีน 2 ครั้งมีอายุ 9 เดือนหลังจากฉีดครั้งที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม (ก่อนหน้านี้: 12 เดือน)” (4)
ที่เยอรมนี ในการประชุมหารือระหว่างรักษาการนายกรัฐมนตรีแห่งสหพันธรัฐ คือ อังเกลา แมร์เคิล และนายกรัฐมนตรีของรัฐต่างๆ ทั้ง 16 แห่งของประเทศเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ได้ตกลงร่วมกันเกี่ยวกับมาตรการหลายอย่างเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดที่กำลังรุนแรงขึ้น และยังเห็นพ้องกับการแนะนำข้อจำกัด "2G" เพื่อนำไปใช้กับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนในภูมิภาคเหล่านั้นซึ่งอัตราการรักษาในโรงพยาบาลเริ่มเกินกำลัง (3)
"2G" ย่อมาจาก geimpft oder genesen ที่แปลว่า "ได้รับวัคซีนหรือฟื้นตัวแล้ว" นั่นคือจะไม่มีการควบคุมกิจกรรมสันทนาการสาธารณะทั้งหมดกับบุคคลที่ได้รับวัคซีนแล้ว (ซึ่งจะต้องแสดงหลักฐานการฉีดด้วย) หรือป่วยแล้วแต่ฟื้นตัวแล้ว มาตรการนี้จะนำมาใช้กับรัฐที่มีผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากกว่าอัตราส่วนประชากร 3 คนต่อ 100,000 คน นอกจาก "2G" แล้ว หากพบว่ารัฐนั้นๆ มีอัตราการเข้ารับการรักษาพยายาลในอัตราส่วนประชากร 6 ต่อ 100,000 จะต้องมีการแสดงผลตรวจเป็นลบด้วย นี่เรียกว่ามาตรการ "2G+"
แต่ "2G" หรือแม้แต่ "2G+" อาจจะยังไม่พอ ที่ออสเตรีย (ซึ่งใช้ภาษาเยอรมันเหมือนกับสหพันธรัฐเยอรมนี) มีมาตรการ geimpft oder genesen หรือ "2G" เช่นกัน แต่ต่อมาพวกเขาเพิ่มขึ้นมาเป็น "2.5G" และล่าสุดคือ "3G" โดยในตอนแรกนั้นมีข้อกำหนดเหมือนเยอรมนีคือ ต้องมีใบรับรองการฉีดวัคซีนครบถ้วนหรือใบรับรองการฟื้นตัว รวมถึงผู้ที่มีผลการทดสอบเป็นลบล่าสุด (5)
แต่มาตรการ "3G" ที่จะนำมาใช้กับผู้เข้าประเทศหลังเกิดการระบาดระลอกที่ 4 คือ นับตั้งแต่ วันที่ 22 พฤศจิกายน เมื่อกฎใหม่มีผลบังคับใช้ ผู้ที่มีความประสงค์จะเข้าออสเตรียจะต้องผ่านการตรวจด้วยกระบวนการ PCR และใบรับรองอีกสองใบเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับ โดย Rapid Antigen Test จะไม่ได้รับการยอมรับอีกต่อไป นอกจากนี้ ผู้เข้าประเทศ สามารถใช้การทดสอบ PCR ที่มีอายุ 7 วันนับตั้งแต่การทดสอบ แต่ตามกฎใหม่ ความแม่นยำของทดสอบ PCR ที่ทางการออสเตรียยอมรับจะลดลงเหลือ 72 ชั่วโมงเท่านั้น ในทำนองเดียวกัน การทดสอบแบบ Rapid Antigen Test จะมีผลแค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้น แทนที่จะเป็น 72 ชั่วโมง (5)
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ออสเตรียกำลังเปลี่ยนแปลงทั้งนิยามประสิทธิภาพของวัคซีนและผลการตรวจ ประสิทธิภาพของทุกอย่างถูกบีบให้สั้นลง สื่อต่างประเทศบางแห่ง เช่น The New York Times จึงกล่าวว่า ออสเตรียนั้นกำลัง "Crossing a Threshold for Europe" หรือกำลังก้าวข้ามมาตรฐานของยุโรป
การก้าวข้ามมาตรฐานยุโรปกำลังเป็นมาตรฐานใหม่ เยอรมนีเริ่มที่จะเสนอให้ใช้แนวทางเดียวกับออสเตรีย นั่นคือการการลดระยะเวลาที่ยืนยันประสิทธิภาพของการฉีดวัคซีนลงให้เหลือเพียง 9 เดือน ซึ่งในเดือนพฤศจิกายนเรื่องนี้ยังเป็นเพียงข้อเสนอ และบางรัฐคัดค้านข้อเสนอแม้แต่การทำ "2G+" หรือการทำเกินเลยกว่า "2G" ดังที่ปฏิบัติกันทั่วไปในประเทศเยอรมนี (6)
เรื่องการเปลี่ยนแปลงนิยามของ "2G" ที่สำคัญคือการฉีดวัคซีนครบถ้วนจะไม่ได้หมายความว่าฉีดแล้วปล่อยทิ้งไว้ตลอดกาลโดยไม่มีการฉีดกระตุ้น การเปลี่ยนแปลงนิยามของออสเตรียและท่าทีของเยอรมนีที่อาจจะทำตาม ทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่ายุโรป (และอาจรวมถึงทวีปอื่นๆ) ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการฉีดกระตุ้นได้ และหมายความว่านิยาม "ฉีดวัคซีนครบถ้วน" ไม่ได้หมายถึงแค่ 2 เข็มอีกต่อไป
อันที่จริงแล้ว ออสเตรียได้เตรียมการเปลี่ยนแปลงนิยามของ "ฉีดวัคซีนครบถ้วน" ด้วยการผลักดันการฉีดกระตุ้นมาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนที่จะประกาศมาตรการล็อคดาวน์ทั้งประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเวียนนาที่มีการประกาศเกณฑ์การรับวัคซีนกระตุ้นโดยอยู่ที่อยู่ที่ 28 วันหลังจากฉีดวัคซีน Johnson & Johnson และ 4 เดือนสำหรับวัคซีนชนิดอื่นๆ โดยรัฐบาลเวียนนากล่าวว่า “การฉีดวัคซีนครั้งที่สามเป็นส่วนประกอบหลักในการป้องกันความเจ็บป่วยร้ายแรงและภาวะโรงพยาบาลล้นในคลื่นการระบาดนี้” (7)
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อย่าว่าแต่การปรับเป็น "2G+" ในเยอรมนีหรือ "2.5G" ในออสเตรีย แม้แต่ "2G" ที่เป็นมาตรฐานทั่วไปก็ยังเผชิญกับแรงต้านของประชาชนที่รู้สึกว่าสิทธิเสรีภาพของพวกเขาถูก "คุกคาม" จากมาตรการป้องกันการระบาดที่รัดกุมเกินไปและตอนนี้กำลังรัดกุมขึ้นเรื่อยๆ ประเด็นนี้เป็นแรงหนุนให้กลุ่มการเมืองฝ่ายขวามาเคลื่อนไหว เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมที่หวงแหนสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล
เช่น ออสเตรีย พรรคการเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศคือพรรคเสรีภาพ (Freiheitliche Partei Österreichs หรือ FPÖ) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายขวาขวา ประณามว่ามาตรการที่เข้มงวดของรัฐบาลออสเตรีย (แค่ในระดับ "2G") “ระบบการแบ่งแยกสีผิวแบบโคโรนา” (a corona apartheid system) ซึ่งเปรียบเทียบการที่รัฐบาลแบ่งแยกประชาชนเป็นกลุ่มฉีควัคซีนและไม่ฉีควัคซีนเป็นเหมือนนโยบายการแบ่งแยกสีผิวอย่างไร้มนุษยธรรม (apartheid) ที่บางประเทศเคยนำมาใช้
กลุ่มการเมืองฝ่ายขวาในออสเตรียยังวางแผนที่ประท้วงต่อต้านข้อจำกัดในกรุงเวียนนา โดย แฮร์แบร์ท คิกเคิล (Herbert Kickl) หัวหน้าพรรคประกาศแผนการนี้บน Facebook เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน แต่เป็นเรื่องที่ยอกย้อนอย่างมาก เพราะปรากฏว่าเขามีผลตรวจเป็นบวกและจะถูกกักกันไม่สามารถไปร่วมการประท้วงได้ (2)
ที่เยอรมนี ทิโน ชรูพัลลา (Tino Chrupalla) ประธานพรรคขวาจัดคือพรรคทางเลือกแห่งเยอรมนี ( Alternative für Deutschland หรือ AfD) แสดงความกังขาว่าจะวัคซีนช่วยได้อย่างไร และในแถลงการณ์การเลือกตั้งปี 2564 ทางพรรคยังกล่าวว่ามาตรการล็อคดาวน์ของเยอรมนีนั้น "ไม่สมเหตุสมผล" โดยกล่าวว่าหลายข้อควรถูกยกเลิก และทางพรรคยังฟ้องร้องต่อศาลให้พิจารณายกเลิกคำสั่งล็อคดาวน์บางประการของรัฐบาลด้วย
ในขณะที่เยอรมนียังคงใช้แค่มาตรการ 2G กับประชาชนส่วนใหญ่และมีการเสนอให้ใช้ 3G ในวงกว้างแล้วแต่ถูกคัดค้านเพียงแต่อนุมัติโดยสภาให้ใช้ในที่ทำงานและระบบขนส่งสาธารณะเท่านั้น (ซึ่งเรื่องนี้อาจจะถูกตีตกไปในที่สุดเพราะพรรคการเมืองบางพรรคไม่เห็นด้วย) ส่วนรัฐสภามีการนำมาตรการระดับ 3G มาใช้กันแล้วในบางพื้นที่ของสภา แต่ปรากฏว่าสมาชิกรัฐสภาของ AfD จำนวนหนึ่งไม่สามารถร่วมการประชุมรัฐสภาได้ เนื่องจากพวกเขาปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามกฎ 3G เพราะปฏิเสธที่จะแสดงเอกสารการฉีดวัคซีนหรือใบรับรองว่าติดเชื้อแต่ฟื้นตัวแล้ว และยังไม่ยอมตรวจเชื้อ ณ จุดตรวจด้วย (3)
อ้างอิง
1. "Austria to go into full lockdown as Covid surges". (November 19, 2021). BBC.
2. "Austrian police conduct random checks to enforce Covid lockdowns for the unvaccinated". (November 17, 2021). CNBC.
3. "COVID: Germany introduces new measures to curb the pandemic". (November 19, 2021). DW.
4. "Austria to Shorten Validity of Vaccination Certificates From 12 to 9 Months Starting on December". (November 12, 2021). SchengenVisaInfo.
5 "Austria Imposes Stricter Entry Rules Due to Another Wave of COVID-19" (November 18, 2021). SchengenVisaInfo.
6. "Anyone who has been fully vaccinated or recovered in Germany so far". (November 16, 2021). Handelsblatt
7. "Covid in Vienna: Booster Shots for All after Four Months and Vaccination for Children Five Years and Older". (November 17, 2021). Vindobona
ภาพ Bwag - Own work (wikipedia.org) / Protest against coronavirus restrictions in Vienna, 2020-01-16.
- 131 views